หมวดหมู่: ตำนาน

  • OUIJA วีจา หรือกระดานวีจา ผีถ้วยแก้วของชาวตะวันตกที่วัยรุ่นนิยมเล่น

    OUIJA วีจา หรือกระดานวีจา ผีถ้วยแก้วของชาวตะวันตกที่วัยรุ่นนิยมเล่น

    OUIJA วีจา หรือกระดานวีจา ผีถ้วยแก้วของชาวตะวันตกที่วัยรุ่นนิยมเล่น

    เกมส์ผีถ้วยแก้ว หนึ่งในวิธีติดต่อสื่อสารกับวิญญาณที่คนไทยนั้นชอบเล่นกันมาตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายถึงความน่ากลัว บางทีสิ่งที่คุณเรียกเข้ามาอยู่ในถ้วยแก้วอาจจะไม่ใช่วิญญาณที่ต้องการ แต่อาจจะเป็นวิญญาณสัมภเวสีที่รอคอยตัวตายตัวแทนหรือต้องการคนมาอยู่ในอีกโลกเป็นเพื่อนเขาก็ได้ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง OUIJA (วีจา) ซึ่งเป็นผีถ้วยแก้วของต่างประเทศกัน

     


    ผีถ้วยแก้วของฝรั่ง นั้นจะเรียกกันว่า OUIJA (วีจี, วีจา) หรือ Ouija board (กระดานวีจี) แปลได้ว่า กระดานอักษรและสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเข้าทรงเรียกผี แต่จะไม่มีพิธีการใช้ธูป-เทียนจุดเพื่อเรียกวิญญาณเหมือนของไทย อุปกรณ์การเล่นจะมีเพียง “กระดาน” และ “planchette” หรือใช้ถ้วยแก้วได้เช่นกัน

    รูปแบบ ของกระดานวีจีเป็นกระดานแบนราบที่มีตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์อื่นๆที่ใช้ในการติดต่อกับวิญญาณ มีชิ้นไม้ทรงหัวใจมีขายืน ขาหรือเรียกว่า”แพลนเช็ท” (planchette) เป็นอุปกรณ์สำหรับชี้ข้อความจากวิญญาณ โดยการสะกดทีละตัวอักษร ส่วนวิธีการเล่นคล้ายของประเทศไทยเรา โดยการเอาปลายนิ้วแตะบนแพลนเช็ทเบาๆ แล้วทำการเชิญวิญญาณเพื่อถามคำถาม

    ความเชื่อ มีข้อห้ามที่เหมือน ๆ กัน คือ ระหว่างที่เล่นห้ามยกนิ้วออกเพราะจะถือว่าไม่เคารพวิญญาณหรือจะถูกวิญญาณเข้าสิงเป็นต้น บ้างก็เชื่อว่า จำนวนผู้เล่นมีได้สูงสุดสี่คน เป็นต้น ที่คล้ายคลึงกันระหว่างผีถ้วยแก้วของไทยและตะวันตก คือ ก่อนจะเลิกเล่น วิญญาณนั้นจะเคลื่อนไปยังตัวอักษรที่แสดงว่าคำทักทาย เช่น “สวัสดี” หรือ “ลาก่อน” ด้วย

     

    คลิป วัยรุ่งฝรั่งเล่นกระดานวีจา แล้วผีเข้า

     

     

    ขอบคุณ mthai

    บทความอื่นๆ ขงเบ้งสอนเล่าปี่

     

  • ขงเบ้งสอนเล่าปี่เกี่ยวกับเทคนิคการบริหารเวลา

    ขงเบ้งสอนเล่าปี่เกี่ยวกับเทคนิคการบริหารเวลา

    ขงเบ้งสอนเล่าปี่เทคนิคการบริหารเวลา

    ขงเบ้งสอนเล่าปี่ ครั้งหนึ่งเล่าปี่ขอขงเบ้งให้แนะนำวิธีสร้างตนให้เป็นมหาเศรษฐีแห่งดินแดน  ขงเบ้งว่างานใหญ่เช่นนี้ต้องวางแผนและรู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เล่าปี่กล่าวว่า “ ข้าฯ เห็นด้วยในหลักการแต่ทว่าข้าฯ มีงานมากมายที่ต้องทำทุกวันจนเวียนเกล้าเวียนศีรษะ ไม่เคยมีเวลาพอที่จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย ” ขงเบ้งบอกลูกน้องให้ไปเตรียมก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย และน้ำจำนวนหนึ่งพร้อมถังเหล็กใหญ่หนึ่งใบ เล่าปี่ถามด้วยความแปลกใจ “ ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร ”

     

     

    ขงเบ้งยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับตอบด้วยคำถามว่า “ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด

    เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯเคยคิดว่าข้าฯมีเทคนิคที่ดีอยู่แล้วคือใช้วิธีมอบหมาย ข้าฯมีผู้ช่วยอยู่รอบด้านตั้งแต่กวนอู เตียวหุย เจ้าหยุน ฯลฯ ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ด้านต่างๆ แต่งานทั้งหลายก็ยังพันกันอีนุงตุงนัง ไม่สามารถปรับให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้นได้ เดิมข้าฯคิดว่าข้าฯ คือ แมลงวันไม่มีหัวอยู่ตัวเดียว แต่หลังการใช้ระบบมอบหมายงานกลับกลายเป็นว่า ปัจจุบันมีแมลงวันหัวขาดเป็นฝูง”

    ขงเบ้งฟังแล้วจึงเริ่มอธิบายว่า “ เทคนิคการบริหารเวลาสามารถแบ่งเป็นสูง กลาง และต่ำ สามขั้น  ขั้นต่ำเน้นการใช้เศษกระดาษบันทึก  ขั้นกลางเน้นการใช้แผนดำเนินงาน และตารางโปรแกรมประจำวันซึ่งสะท้อนความสำคัญของการวางแผน ส่วนขั้นสูงเน้นการจัดการโดยแบ่งแยกประเภทของหน้าที่การงานตามดีกรีความสำคัญของงาน เพื่อพิจารณาลำดับความเร่งด่วนในการจัดการงานดังกล่าว  ทั้งสามขั้นต่างมีเรื่องการมอบหมายงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตามความต้องการของปริมาณและลักษณะเฉพาะของงานแต่ละชิ้น ”

    เล่าปี่สารภาพว่า “ หากพิจารณาตามการแบ่งขั้นของเทคนิคการบริหารเวลาแล้ว ข้าฯ ยอมรับว่าวิธีของข้าฯอยู่ที่ขั้นต่ำ เพราะใช้แค่สลิปบันทึก”

    ขงเบ้งชี้ไปที่ถังเหล็กกับกองวัสดุที่ผู้ช่วยได้เตรียมไว้มุมห้องพร้อมกล่าวว่า “ คำตอบของการบริหารขั้นสูงอยู่ในถังเหล็กใบใหญ่นี่แหละ!  ความจุของถังใบนี้ เปรียบเสมือนขีดความสามารถของคนคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง ก้อนกรวดเปรียบได้กับงานที่สำคัญและเร่งด่วน  ก้อนหินคือภาระที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน  เม็ดทรายเปรียบได้กับภาระที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ และน้ำคือหน้าที่ที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ”     ขงเบ้งอธิบายพลางวาดผังประกอบคำอธิบายดังตารางประกอบด้านล่างนี้

    สำคัญ  ก. งานประเภทก้อนกรวด

    • วิกฤติการณ์
    • ปัญหาประชิดตัว
    • งานที่มีเวลากำหนดแน่นอน
     ข. งานประเภทก้อนหิน

    • โครงการใหม่/การริเริ่มใหม่
    • กฎระเบียบ
    • การปฏิรูปประสิทธิภาพการผลิต
    • การสร้างความสัมพันธ์กับหุ้นส่วน
    • มาตรการการป้องปราม
    ไม่สำคัญ  ค. งานประเภทเม็ดทราย

    • รับรองแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
    • จัดการกับจดหมาย เอกสารโทรศัพท์ทั่วไป
    • เข้าประชุมและกิจกรรมทั่วไปที่ไม่สำคัญ
     ง. งานประเภทน้ำ

    • งานจุกจิกทั่วไปที่ทำหรือไม่ทำก็ได้
    • งานเลี้ยงสังสรรค์ทั่วไปที่ไม่จำเป็น
    • กิจกรรมที่น่าสนใจทั่วไป

    “ ปกติท่านเน้นงานประเภทใด ”  ขงเบ้งถาม

    “ ก็ต้องเป็นประเภท ก.  ”  เล่าปี่ตอบอย่างไม่ลังเล

    “ แล้วงานประเภท ข. ล่ะ ”   ขงเบ้งถามต่อไป

    เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯ ตระหนักถึงความสำคัญของงานประเภท ข. แต่ไม่มีเวลาพอที่จะสนใจมัน”

    “ เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ”  ขงเบ้งถามพลางใส่กรวดลงไปในถังเหล็กจนเต็มแล้วพยายาม

    ใส่ก้อนหินตามซึ่งใส่ไม่ได้  เล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “

    “ และหากเปลี่ยนวิธีบรรจุใหม่ล่ะ ”   ขงเบ้งถามต่อพลางใส่ก้อนหินทีละก้อนเข้าไปในถังก่อนจนใส่ไม่ได้แล้วจึงถามเล่าปี่อีกว่า  “ ตอนนี้ถังเหล็กเต็มแล้วจะใส่ลงไปอีกไม่ได้ใช่ไหม? ”   ซึ่งเล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “

    “ จริงหรือ ? ”  ขงเบ้งถามแล้วหยิบก้อนกรวดใส่เข้าไปข้างบนถังแล้วเขย่าให้ก้อนกรวดตกลงไปในถังจนหมด  “ บัดนี้ถังเหล็กใบนี้ใส่อะไรลงไปอีกได้หรือไม่? ” ขงเบ้งพูดพลางเทเม็ดทรายลงไปจนหมด  “ แล้วทีนี้ล่ะ ใส่อะไรลงไปอีกได้ไหม ? ”  ขงเบ้งถามต่อ แต่ก่อนที่เล่าปี่มีโอกาสตอบ ขงเบ้งก็ตักน้ำที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในถังเหล็กอีกจนหมด  “ ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของการทดลองนี้หรือยัง ? ” เล่าปี่ตอบว่า “ เข้าใจแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่เกี่ยวกับการจัดการแบบแยกประเภทและเลือกการจัดการก่อนหลังใช่ไหม ? ”

    ขงเบ้งตอบว่า “ ใช่แล้ว  การทดลองชี้ให้เห็นว่าหากถังเหล็กตั้งแต่แรกก็เติมเต็มด้วยก้อนกรวด ทราย  และน้ำ  ก็คงไม่มีโอกาสใส่ก้อนหินลงไปได้  แต่ถ้าใส่ก้อนหินลงไปก่อน  ในถังยังมีเนื้อที่ที่จะใส่สิ่งอื่นๆเข้าไปได้อีก ดังนั้น การบริหารเวลาที่ได้ผลต้องดูว่า อะไรคือก้อนหิน อะไรคือก้อนกรวด เม็ดทรายและน้ำ และไม่ว่าจะเป็นประการใดก็ต้องใส่ก้อนหินลงไปในถังเป็นอันดับแรก ”

    เล่าปี่ยังถามว่า “ แล้วการวิเคราะห์แยกแยะเรื่องต่างๆออกเป็นสี่หมวดนี้มีผลอย่างไร ”

    ขงเบ้งตอบว่า “ บุคคลจำพวกที่ว้าวุ่นอยู่กับเรื่องราวประเภทก้อนกรวดย่อมมีความรู้สึกถูกเวลากดดันและวนเวียนอยู่ในแดนวิกฤตจนอ่อนล้า  พวกที่เน้นเรื่องประเภทเม็ดทรายจะขาดพลังสร้างสรรค์  ชอบฟังคำพูดเพราะหู คบคนแบบผิวเผิน  พวกที่นิยมเรื่องราวประเภทน้ำมักบกพร่องเรื่องสำนึกรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องสารทุกข์สุกดิบของตนเอง ”

    เล่าปี่ถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่ว่าถ้าเน้นก้อนหินมากเกินไปจะมองข้ามก้อนกรวด เพราะก้อนกรวดมากับความเร่งด่วน ? “

    “ ท่านทราบไหมว่าก้อนกรวดมาจากไหน? ก็มาจากก้อนหินที่แตกสลายไง ” ขงเบ้งตอบ “ คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประเภทก้อนหินจะมีก้อนกรวดน้อย  คนที่เน้นก้อนกรวดก็จะมีก้อนกรวดเยอะตลอด “  ขงเบ้งสอนต่อไปว่า  “ คนที่อิงเรื่องประเภทก้อนหินเป็นคนมีประสิทธิภาพ เพราะเขาจะเก่งในการวิเคราะห์สถานการณ์ เวลาและสิ่งแวดล้อม  สามารถจับประเด็นหลักของปัญหา สามารถจัดการกับเรื่องเร่งด่วนและควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกินกว่าเหตุ  กล้าฟันธงและใช้มาตรการป้องปราม  บุคคลจำพวกนี้จะมีวิสัยทัศน์  มีอุดมการณ์ เคารพ ระเบียบ สามารถควบคุมตัวเอง  ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสามารถทำงานชิ้นใหญ่ได้ ”

    เล่าปี่ชื่นชอบทฤษฎี “ วัตถุในถัง “ ของขงเบ้งเป็นอย่างมากพร้อมกับสารภาพว่า “ มาวันนี้ข้าฯเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการต่อสู้ของข้าฯทำไมจึงยังลุ่มๆดอนๆ  เพราะแม้ว่าข้ามีขุนพลเก่งๆเช่นกวนอูและเตียวหุย  แต่พวกเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไรตราบใดที่คนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างพวกเขาจมปลักอยู่กับเรื่องจิ๊บจ๊อย  กับทำงานลักษณะ“ เก็บเม็ดงาแต่ทิ้งแตงโม “ (เจี่ยนเลอจือหมา ติวเลอซีกวา)  ขืนดำเนินตามวิธีนี้ต่อไป ความพยายามของข้าฯที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐีนัมเบอร์วันในแผ่นดินก็คงเป็นได้แค่ความฝัน ! ”

     

    Credit by : ขอขอบคุณภาพถ่าย และเนื้อหาจากเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต

    บทความอื่นๆ : 10 จุดหมายปลายทางต้องห้ามที่คุณไม่เคยแวะเยี่ยมชม

  • 10 จุดหมายปลายทางต้องห้ามที่คุณไม่เคยแวะเยี่ยมชม

    10 จุดหมายปลายทางต้องห้ามที่คุณไม่เคยแวะเยี่ยมชม

    10 จุดหมายปลายทางต้องห้ามที่คุณไม่เคยแวะเยี่ยมชม

    เปิดรายชื่อ 10 จุดหมายปลายทางต้องห้าม ที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวย่างกรายเข้าไปใกล้ เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน และมีอันตรายถึงชีวิต แต่รู้ไหมว่ายังมีสถานที่ลึกลับบนโลกอีกมาก ที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ เข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายใน ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ตามที อาจเป็นเพราะสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตราย หรือไม่ก็อาจจะกุมความลับระดับชาติบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้

    1. Fort Knox, สหรัฐอเมริกา

    “ยากกว่าเข้าฟอร์ตน็อกซ์” เป็นคำพูด เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่ฐานทัพแห่งรัฐเคนตั๊กกี้นี้มีจุดมุ่งหมายมากมายตลอดประวัติศาสตร์ แต่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าการปกป้องทองคำของอเมริกา

    ป้อมได้รับการเปิดครั้งเดียวสำหรับสื่อข่าวและสภาคองเกรสในปีพ. ศ. 2517 และไม่นับอีกครั้งนับตั้งแต่ อุปสรรคที่คุณต้องเอาชนะเพื่อให้ได้ทองคำของอเมริการวมถึงทุ่นระเบิด, ลวดหนาม, รั้วไฟฟ้ายามติดอาวุธและกล้องถ่ายรูป โอ้และทุกหน่วยของกองทัพมีเฮลิคอปเตอร์ Apache พร้อมสำหรับสัญญาณ “Go”

     

    2. Moscow Metro-2, Russia

    โลกแห่งอุโมงค์ลับ ๆ และรถไฟผีดูเหมือนจะเป็นอะไรบางอย่างที่ออกมาจากแฮร์รี่พอตเตอร์ – เว้นเสียแต่ว่าคุณเคยได้ยินมาว่า Moscow Metro-2

    เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภัยพิบัติทางนิวเคลียร์ KGB ได้สร้างระบบรถไฟใต้ดินแบบลับ ๆ ที่สะท้อนถึงมอสโกเมโทรสาธารณะยกเว้นว่ามีขนาดใหญ่และฝังอยู่ใต้ดินราว 600 ฟุต สี่บรรทัดเชื่อมต่อกับอาคารของรัฐบาลเช่นเครมลินกับสำนักงานใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติสนามบินรัฐบาลและสถานที่สำคัญอื่น ๆ อีกหลายแห่ง

     

    3. Svalbard Global Seed Vault, นอร์เวย์

    Located บนเกาะ Spitsbergen ที่ห่างไกลสถานที่จัดเก็บเมล็ดพันธุ์นี้ถูกสร้างขึ้นอย่างรอบคอบ 400 ฟุตสู่เทือกเขา บ้านที่ซับซ้อนมีประมาณ 840,000 ตัวอย่างจาก 4,000 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันไปทั่วโลก ธนาคารดำเนินการเช่นตู้เซฟซึ่งช่วยให้รัฐบาลสามารถออกจากตัวอย่างเมล็ดพันธุ์เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในระดับโลกหรือระดับภูมิภาคซึ่งจะกวาดล้างเสบียงอาหารที่สำคัญ

    มีเพียง “ผู้ฝากเงิน” อย่างเป็นทางการเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในสิ่งที่อธิบายอย่างเป็นลางไม่ดีว่าเป็น “การสำรองข้อมูลขั้นสุดท้าย” ตั้งอยู่บนเกาะ Spitsbergen ที่ห่างไกลสถานที่จัดเก็บเมล็ดพันธุ์ดินนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างระมัดระวัง 400 ฟุตสู่เทือกเขาบ้านที่ซับซ้อนมีประมาณ 840,000 ตัวอย่างจาก 4,000 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันไปทั่วโลก ธนาคารดำเนินการเช่นตู้เซฟซึ่งช่วยให้รัฐบาลสามารถออกจากตัวอย่างเมล็ดพันธุ์เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในระดับโลกหรือระดับภูมิภาคซึ่งจะกวาดล้างเสบียงอาหารที่สำคัญ

    เฉพาะ “ผู้ฝากเงิน” อย่างเป็นทางการเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตภายในสิ่งที่อธิบายอย่างเป็นลางไม่ดีว่า “การสำรองข้อมูลขั้นสุดท้าย”

     

    4โบสถ์พระแม่มารีย์แห่งไซอันเอธิโอเปีย

    แม้ว่านักวิชาการบางคนจะไม่ไว้ใจโบสถ์แห่งนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่พำนักแห่งสุดท้ายของหีบพันธสัญญาหรือที่เรียกว่าหน้าอกหรูหราที่มีทั้งสิบบัญญัติ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถดูเรือได้: พระสงฆ์ผู้พิทักษ์พิเศษที่เจิมโดยบรรพบุรุษ

    คริสตจักรวันที่กลับไปศตวรรษที่ 4 และบริเวณยังรวมถึงซากของ Tekle Giyorgis ฉันอดีตจักรพรรดิแห่งเอธิโอเปียแม้ว่านักวิชาการบางคนจะสงสัยโบสถ์แห่งนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่พำนักแห่งสุดท้ายของหีบพันธสัญญาหรือที่รู้จักกันดี เป็นหน้าอกหรูหราที่มีบัญญัติสิบประการ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถดูเรือได้: พระสงฆ์ผู้พิทักษ์พิเศษที่เจิมโดยบรรพบุรุษ

    คริสตจักรวันที่กลับไปศตวรรษที่ 4 และบริเวณรวมถึงซาก Tekle Giyorgis ฉันอดีตจักรพรรดิแห่งเอธิโอเปีย

     

    5. พื้นที่บัฟเฟอร์ของสหประชาชาติไซปรัส

    ในปีพ. ศ. 2517 กองทัพตุรกีบุกไซปรัสซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างชาวกรีกและตุรกี สหประชาชาติเข้าควบคุม “เขตบัฟเฟอร์” ในเมืองหลวงของประเทศนิโคเซียหลังจากการสู้รบจบลงด้วยการสู้รบ

    บริเวณชายแดนที่ไม่มีใครเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยกำแพงแยกชุมชนชาวตุรกีออกจากชุมชนชาวกรีก ภายในกำแพงมีบ้านที่ถูกทอดทิ้งธุรกิจและสนามบินขนาดเล็กที่มหาสมุทรแอตแลนติกวางไว้ยังคง “แช่แข็งอยู่ตลอดเวลา” มานานหลายทศวรรษ

     

    6. Coca-Cola Recipe Vault, ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ลืมการหา Jimmy Hoffa หรือผู้ที่ฆ่า JFK ความลับที่แท้จริงของชาวอเมริกันสามารถพบได้ในกระป๋องของโคคา – โคลา สูตรลับลึกลับในตำนานถูกยึดภายใต้กุญแจล็อคและกุญแจสำคัญในอุโมงค์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะในแอตแลนตา แผนที่ไปยังยาแก้โรคทุกชนิดที่มีชื่อเสียงระดับโลกจะถูกเก็บไว้ในกล่องโลหะภายในห้องใต้ดินขั้นสูง 6.6 ฟุตซึ่งได้รับการป้องกันโดยกำแพง บริเวณนี้มีการเฝ้าระวังกับยามติดอาวุธและสามารถเปิดประตูได้ด้วยปุ่มกดและสแกนเนอร์ด้วยมือเท่านั้น

    การได้รับมือกับประกาศอิสรภาพอาจเป็นเรื่องง่ายกว่าการหาว่าอะไรทำให้รสชาติโค้กดี

     

    7. ห้องนอนของสมเด็จพระราชินี, สหราชอาณาจักร

    พระราชวังบัคกิงแฮม (Buckingham Palace) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำไม่เพียง แต่ในสหราชอาณาจักรเท่านั้น พระราชวังเป็นที่พำนักของพระราชินีในกรุงลอนดอนและเป็นบ้านของราชาธิปไตยของสหราชอาณาจักรนับ แต่พศ. 1837 แต่ในขณะที่มีการจัดทัวร์สาธารณะในหลายห้องและบริเวณพระราชวังห้องหนึ่งยังคงต้องห้ามอย่างเคร่งครัด: ห้องนอนของสมเด็จพระนางเจ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมักจะอยู่

    แน่นอนว่าเว้นไว้แต่ว่าชื่อของคุณคือไมเคิลฟาแกนซึ่งสามารถเจาะเข้าสู่ห้องนอนของสมเด็จพระราชินีในช่วงทศวรรษที่ 1980 โดยเป็นหนึ่งในช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล การกระทำที่เกี่ยวข้องกับเขาปรับผนัง 20 ฟุตและยกตัวเองท่อระบายน้ำ – ทั้งหมดเพื่อให้เขาสามารถชนะเดิมพันกับเพื่อนบางคน

     

    8. Niihau, สหรัฐอเมริกา

    เกาะฮาวายกระโดดเป็นงานอดิเรกที่รักสำหรับนักเดินทาง แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณได้ตีเกาะทั้งหมดคิดอีกครั้ง

    เกาะลึกลับหนึ่งชื่อ Niihau มีชื่อเล่นว่า “The Forbidden Island” และนั่นไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง แม้ทัศนวิสัยยังคงเป็นเรื่องยาก แต่วิธีเดียวที่จะจับภาพได้ก็คือพระอาทิตย์ตกดินเหนือ Kekaha Kauai’s Beach เมื่อเงาของมันโผล่ออกมา เกาะนี้เป็นเจ้าของโดยครอบครัวเดี่ยวมานานกว่า 150 ปีและได้รับการเก็บรักษาไว้นอกขอบเขตกับโลกภายนอก

    คนเดียวที่สามารถเพลิดเพลินกับความงดงามของเกาะนี้คือชาวบ้านซึ่งทุกคนเป็นลูกหลานของเหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นก่อนที่เกาะนี้จะถูกซื้อมาในช่วงทศวรรษที่ 1860

     

    9. โดมออฟเดอะร็อคเยรูซาเล็ม

    หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกคือโดยไม่ต้องสงสัย Temple Mount สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้เชื่อชาวยิววัดนี้ย้อนกลับไปในศตวรรษแรกก่อนคริสตศักราช นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับสามสำหรับมุสลิมสุหนี่หลังเมกกะและเมดิน่า แต่ภายในเทมเพิลเมาท์เป็นพื้นที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นเอกลักษณ์มากที่สุดคือโดมออฟเดอะร็อค

    ศาลอิสลามที่มีทองคำเป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงเยรูซาเล็ม มีกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับการเข้าชม Temple Mount แต่รายการโดมออฟเดอะร็อคถูกสงวนไว้อย่างเคร่งครัดสำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามศาสนาอิสลาม ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมเข้ามาในกำแพงศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกนี้คือ Temple Mount สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้เชื่อชาวยิววัดนี้ย้อนกลับไปในศตวรรษแรกก่อนคริสตศักราช นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับสามสำหรับมุสลิมสุหนี่หลังเมกกะและเมดิน่า แต่ภายในเทมเพิลเมาท์เป็นพื้นที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นเอกลักษณ์มากที่สุดคือโดมออฟเดอะร็อค

    ศาลอิสลามที่มีทองคำเป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงเยรูซาเล็ม แล้วมีกฎระเบียบที่เข้มงวดในสถานที่สำหรับการเข้าชมเทมเพิลเมา แต่โดมของรายการร็อคของสงวนไว้อย่างเคร่งครัดสำหรับผู้ที่ปฏิบัติศาสนาอิสลาม ห้ามมิให้มุสลิมเข้าไปในกำแพงศักดิ์สิทธิ์

     

    10. Mezhgorye, Russia

    ชุมชนพิเศษเป็นสิ่งหนึ่ง ในรัสเซียมีทั้งเมืองที่ปิดให้ประชาชนทั่วไป

    Mezhgorye ตั้งอยู่ในเทือกเขาอูราลประมาณ 120 ไมล์จาก Ufa ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Republic of Bashkortostan ก่อตั้งขึ้นในปีพ. ศ. 2522 เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้กล่าวกันว่าเป็นที่ตั้งของสถานที่ขีปนาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าจะไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม แต่เชื่อกันว่าไซต์นี้มีขีปนาวุธอัตโนมัติที่สามารถใช้งานได้จากระยะไกล เมืองนี้ได้รับการคุ้มกันโดยกองพันสองกองพันที่ป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาเยี่ยมเยือน ข้อมูลเฉพาะที่เรามีเกี่ยวกับ Mezhgorye ถูกนำมาจากภาพจากดาวเทียมและ Kremlin อ้างว่าเว็บไซต์นี้ถูกใช้สำหรับการทำเหมืองบังเกอร์ฉุกเฉินสำหรับผู้นำรัสเซียและห้องเก็บของสมบัติของประเทศ

    โลกอาจไม่เคยรู้จักและถ้าเป็นพื้นที่นิวเคลียร์ให้เราหวังว่าเราจะไม่มีโอกาสได้ค้นพบชุมชนที่มีข้อดีคือสิ่งหนึ่ง; ในรัสเซียมีทั้งเมืองที่ปิดให้ประชาชนทั่วไป

    Mezhgorye ตั้งอยู่ในเทือกเขาอูราลประมาณ 120 ไมล์จาก Ufa ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Republic of Bashkortostan ก่อตั้งขึ้นในปีพ. ศ. 2522 เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้กล่าวกันว่าเป็นที่ตั้งของสถานที่ขีปนาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าจะไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม แต่เชื่อกันว่าไซต์นี้มีขีปนาวุธอัตโนมัติที่สามารถใช้งานได้จากระยะไกล เมืองนี้ได้รับการคุ้มกันโดยกองพันสองกองพันที่ป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาเยี่ยมเยือน ข้อมูลเฉพาะที่เรามีเกี่ยวกับ Mezhgorye ถูกนำมาจากภาพจากดาวเทียมและ Kremlin อ้างว่าเว็บไซต์นี้ถูกใช้สำหรับการทำเหมืองบังเกอร์ฉุกเฉินสำหรับผู้นำรัสเซียและห้องเก็บของสมบัติของประเทศ

    โลกอาจไม่เคยรู้จักและถ้าเป็นพื้นที่นิวเคลียร์ให้เราหวังว่าเราจะไม่มีโอกาสได้พบ

     

    Credit by :  travelden

    บทความอื่นๆ : อาถรรพ์หม้อดินเผา ของโบราณยากนักที่จะลืม เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “โลกของเรา” ที่หลายคนยังไม่รู้

  • เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “โลกของเรา” ที่หลายคนยังไม่รู้

    เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “โลกของเรา” ที่หลายคนยังไม่รู้

    เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “โลกของเรา” ที่หลายคนยังไม่รู้

    โลกของเรา ก็เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังใหญ่ของเรา ที่มีสิ่งมีชีวิตมากมายเป็นล้านๆ ชีวิตอาศัยอยู่ แน่นอนว่าโลกของเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลและมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราอาจจะยังไม่เคยรู้ สำหรับโลกอาจจะเป็นดาวเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่ แต่!!! ถึงเราจะใกล้ชิดด้วยมากที่สุด โลกก็ยังมีความลับซ่อนอยู่ที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบอีกมายมายเลยทีเดียว

    วันนี้เอาเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับโลกของเรานี่แหละ ที่เพื่อนๆ อาจจะรู้แล้วหรือยังไม่รู้ว่าโลกใบนี้ยังมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด ความลี้ลับเกี่ยวกับโลก ว่าน่าจะทำให้เพื่อนๆ หลายๆ คนรู้จักโลกมากขึ้นเลยทีเดียวจ้า จะมีอะไรบ้างนั้นเรามาชมกันเลย

     

     

    ทุก ๆ วันจะมีอุกกาบาตตกรวมแล้วกว่า 100 ตันทั่วโลก แต่ไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ ให้กับคนบนโลก เพราะมันเผาไหม้บนชั้นบรรยากาศไปก่อนตกสู่พื้นผิวโลกแล้วนั่นเอง

     

     

    จริงๆ แล้วโลกของเราไม่ใช่ทรงกลม แต่เป็นทรง ‘เกือบกลม’ ต่างหาก!! หลายๆ คนคิดว่าโลกของเรานั้นเป็นทรงกลม แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปมาแล้วว่าโลกของเรามีลักษณะเป็นทรงวงรี นั่นเป็นเพราะโลกของเรามีการหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้รูปร่างของมันปรับเปลี่ยนไปตามแกนหมุน ซึ่งหากวัดขนาดจากขั้วโลกเหนือไปขั่วโลกใต้จะมีความแตกต่างกับวัดจากเส้นศูนย์สูตรเพียงแค่ 43 กิโลเมตรเท่านั้น

     

     

    ในโลกของเราประกอบไปด้วยธาตุเหล็ก ออกซิเจน และ ซิลิคอน เกือบจะทั้งหมด หากเราจำแนกโลกออกเป็นส่วนๆ จะประกอบไปด้วย เหล็ก 32.1%, ออกซิเจน 30.1%, ซิลิคอน 15.1%, และ แม็กนีเซียม 13.9% แน่นอนว่าเหล็กเกือบทั้งหมด (88%) จะอยู่ในแกนกลางของโลก

     

     

    แกนโลกเป็นตัวสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมา โลกของเรานั้นเปรียบเสมือนกับก้อนแม่เหล็กขนาดใหญ่ ที่มีขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ทำหน้าที่เสมือนเป็นแกนแม่เหล็ก ซึ่งสนามแม่เหล็กของโลกนี้จะมีความกว้างหลายพันกิโลเมตรจากพื้นโลก นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสนามแม่เหล็กเกิดจากการหลอมละลายหินและธาตุต่างๆ ที่แกนโลก ทำให้เกิดความร้อนและกระแสไฟฟ้าออกมา และกระแสแม่เหล็กนี้ก็ทำหน้าที่ปกป้องโลกของเราจากลมสุริยะ อยู่ในลักษณะที่เป็นพลังงานคอยปัดเป่าคลื่นพลังงานเหล่านั้นไม่ให้กระทบกับโลกโดยตรง เพราะหากลมนั้นพัดเข้าสู่โลกจะทำให้เกิดการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันเมื่อกระแสลมสุริยะที่คอยปกคลุมโลกของเราอยู่ ก็ช่วยปกป้องโลกของเราจากสิ่งอันตรายต่างๆ ด้วย

     

     

     เธอมีรอบ โลกของเรา (Mother Earth) มีรอบเอวที่ค่อนข้างกว้าง ด้วยความยาวของเส้นศูนย์สูตรหรือเส้นรอบวงที่ 24,901 ไมล์ หรือ 40,075 กิโลเมตร

     

     

    มนุษย์สำรวจท้องทะเลได้เพียงไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมดและอาจต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะสำรวจผืนน้ำได้ทั่วโลก!!

     

     

    โลกมีอายุราว 4.5 พันล้านปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ประมาณ 150-200 ล้านปีที่แล้ว หรือคิดเป็น 5-10 เปอร์เซ็นต์ของอายุโลกเท่านั้นเอง!!

     

     

    จริงๆ แล้วโลกของเราไม่ได้ใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเอง 24 ชั่วโมงแบบเป๊ะๆ หรอกนะ จริงๆ แล้วโลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลาที่ 23 ชั่วโมง 56 นาที และอีก 4 วินาที ต่างหากล่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใน 1 วันจะมีเวลาสั้นกว่าที่เราคิด 4 นาทีหรอกนะเพราะโลกของเราจะต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นประจำทุกวัน พระอาทิตย์เองก็เคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน และเมื่อนำทุกอย่างมาหักลบกันแล้วใน 1 วันก็จะเท่ากับ 24 ชั่วโมงพอดี

     

    เป็นอย่างไรกันบ้างจ๊ะเพื่อนๆ CheezeBite.com หวังว่าจะได้รับความรู้จากบทความนี้ไปไม่มากก็น้อย ไม่น่าเชื่อว่าโลกของเราก็ยังมีเรื่องราวที่เราไม่รู้มากมายขนาดนี้เลยนะเนี่ย

     

    Credit by : scholarship.in.th

    บทความอื่นๆ : พหุจักรวาล โลกคู่ขนาด ภายใต้ทฤษฏีไร้ขอบเขต  นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ “สี” ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลก

     

  • อาถรรพ์หม้อดินเผา ของโบราณยากนักที่จะลืม

    อาถรรพ์หม้อดินเผา ของโบราณยากนักที่จะลืม

    อาถรรพ์หม้อดินเผา ของโบราณยากนักที่จะลืม

    อาถรรพ์หม้อดินเผา เป็นตำนานเก่าแก่ที่เล่ากันมาเป็นเวลายาวนาน ดิฉันเป็นเด็ก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ได้ฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าเรื่องราวน่าสยดสยองเกี่ยวกับสมบัติโบราณ จดจำได้อย่างฝังใจตั้งแต่เล็กจนโต จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ

    ได้ไปตรวจแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงพร้อมคณะใหญ่ อยู่ที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ที่บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน มีหลุมที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องปั้นดินเผาที่ฝังรวมกับศพ ซึ่งเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุประมาณ 6,500-7,000 ปี นับเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย ต่อมาองค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก เมื่อเดือนมกราคม ปี 2513 นายนุ่ม อยู่ในธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร และหัวหน้ากองโบราณคดี

    ตอนบ่ายวันเดียวกัน ได้ไปแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านแวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บรรยากาศของโบราณสถานโดยทั่วไปมักจะร่มครึ้ม เยือกเย็น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นหวนนึกไปถึงอดีตกาล…สมัยที่ยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่นั้น ผู้คนย่อมคึกคักขวักไขว่ ทักทายและพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างเบิกบาน…ราวกับจะปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมิได้ดับสูญไปกับกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน

    ขณะนั้นเองหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ประคองหม้อดินเผาขนาดย่อมๆ ใบหนึ่งมาส่งให้สตรีในคณะ มีนามว่าพาณี พลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สุ้มเสียงออกแปร่งตามประสาคนท้องถิ่น

    “ขอมอบให้คุณนายเป็นที่ระลึก โปรดรับไว้เถอะจ้ะ”

    คุณพาณีเล่าภายหลังว่า น้ำเสียงกับนัยน์ตาคู่นั้นทำให้รู้สึกพร่ามึนอย่างไรชอบกล แต่ยังมีสติบอกปัดไป โดยอ้างว่าเป็นของมีค่าเกินกว่าจะรับได้ แต่หญิงแปลกหน้า ผู้มีลักษณะเป็นคนพื้นบ้าน พูดจาไพเราะน่าฟังก็คะยั้นคะยอให้รับไว้ เพราะนำมาให้ด้วยความเคารพนับถืออย่างจริงใจ ในที่สุด คุณพาณีเกรงว่าฝ่ายนั้นจะเสียน้ำใจ หรือไม่ก็หาว่าถือตัว จึงจำใจรับไว้ แล้วหันไปทางชาวคณะพลางบอกกล่าวเรื่องราวให้ฟัง

    “ไหน? ไม่เห็นมีใครซักคน!”

    ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างมั่นใจ เล่นเอาคุณพาณีใจหาย หันขวับไปก็พอดีมองเห็นหญิงกลางคนนุ่งซิ่นดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีขาว กำลังจะเดินลับกองอิฐสีแดงใกล้ต้นใหญ่อยู่แล้ว เธอจึงชี้ให้คนอื่นๆ ดู

    “ไหนกัน…ทำไมไม่เห็นล่ะ?”

    “แปลก! ไม่เห็นมีใครนี่!

    อ้อ…นั่นไง! แกเดินเหมือนลอยไปเฉยๆ อ้าว? หายไปแล้ว”

    สตรีผู้ได้รับหม้อดินเผาเก่าแก่เป็นของกำนัลจากหญิงแปลกหน้า ถึงกับขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว…พอดีมีคนอื่นๆ มาดูหม้อใบนั้น พลางพูดจาชมเชยความสวยงาม ดูโบร่ำโบราณหายาก มีค่าควรแก่การสะสมไว้ชื่นชมยิ่งนัก คืนนั้นเอง…คุณพาณีนอนหลับก็ฝันเห็นเด็กชายวัยสิบขวบ ไว้หางเปีย หน้าตาน่ารัก โผล่ออกมาจากหม้อดินเผาช้าๆ กระทั่งยืนเด่นเต็มตัว พลางหันหน้ามามองยิ้มๆ ครั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเหงื่อโซมกาย คุณนายก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคักมาจากหน้าห้อง ทั้งๆ ที่ในบ้านไม่มีเด็กอยู่เลยแม้แต่คนเดียว…ตัดสินใจลุกไปเปิดประตูดู ก่อนจะมองเห็นภาพน่าขนหัวลุกเต็มตา ท่ามกลางความเย็นเฉียบในยามดึกดื่น สรรพสิ่งเงียบกริบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างไปเสียแล้ว

    เด็กชายในความฝันกำลังวิ่งเล่นอยู่รอบๆ หม้อดินเผาใบนั้นเอง! เข่าอ่อนยวบ ม่านตาพร่าพรายใจสั่นหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม แต่ยังมีสติระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าขึ้นมาได้ พนมมือภาวนาว่าขอให้วิญญาณนั้นจงไปสู่ที่ชอบๆ เถิด อย่ามารบกวนเลย แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แน่นอน

    เด็กผมเปียหยุดวิ่ง หันมามองสบตาประหนึ่งจะคาดคั้นเอาคำมั่นสัญญาของคุณพาณี ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในหม้อดินเผานั้นตามเดิม รุ่งเช้า คุณนายพาณีรีบนำหม้ออาถรรพณ์ แสนจะน่าสยดสยองพองขนใบนั้นไปมอบให้พิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติ แล้วเข้าวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เด็กชายผู้นั้นตามสัญญาที่เธอให้ไว้…

     

    Credit by : shockgost.blogspot.com

    บทความอื่นๆ : The Winchester House ตำนานบ้านหลอน

  • นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ “สี” ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลก

    นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ “สี” ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลก

    นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ “สี” ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลก

    จากการค้นพบและวิจัยเมื่อเร็วๆนี้นักวิทยาศาสตร์พบว่า สีชมพู ที่มีสีคล้ายลักษระของสีเหงือกและสีชมพุอ่อนๆของดอกไม้นั้นเป็นสีที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลก จากผงสีชมพูที่พบในหินอายุกว่า 1.1 พันล้านปี ซึ่งหินนี้ถูกพบอยู่ใต้ทะเลทรายซาฮาร่าในลุ่มน้ำ Taoudeni ของมอริเตเนียอแฟริกาตะวันตก ซึ่งทางธรรีวิทยาได้บันทึกให้สีที่พบในหินนี้เป็นสีที่เก่าแก่ที่สุด

    การค้นพบนี้ป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของ Dr. Nur Gueneli ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริยญาเอกในมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย โดยสีชมพูนี่มีอายุมากกว่า 500 ล้านปีและมันเป็นสีที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรโบราณ

    สีชมพูสดใสเกิดจากซากดึดำบรรพ์ของโมเลกุลคลอโรฟิลล์ที่ผลิตโดยสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรโบราณที่มีมานานแล้วและสูญหายไป จากการสะกัดสีออกมาจากหิน เมื่อทำการเจือจางแล้วจะได้สีชมพูสดใส จนไปถึงสีแดง และสีม่วง

    การค้นพบสีที่เก่าแก่นี้ ในทะเลทราบซาฮารา ยังทำให้ทีมนักวิจัยจากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอเมริา สามารถใช้ผงสีเพื่อยืนยันได้ว่าระบบนิเวศน์ทางทะเลในสมัยโบราณนั้นมี ไซยาโนแบคทีเรีย ขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ได้รับพลังงานจากการบวนการสังเคราะห์แสง

    และ Dr. Gueneli  ได้กล่าวอีกว่าเม็ดสีโบรารนี้สามารถยืนยันได้ว่า แบคทีเรียขนาดเล็กนี้อาจจะเป็นจุดเด่นของห่วงดซ่อาหารในมหาสมุทรมาแล้วนับพันปี อย่างไรก็ตามถึงแม้ แบคทีเรียชนิดนี้จะเริ่มหายไปแล้วกว่า 650 ล้านปีก่อน แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดและวิวัฒนาการจนเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ

    เกลือหิมาลัยเกลือสีชมพู 

  • ไทยรัฐ สัมภาษณ์ ผู้ว่าเผย พก ท้าวเวสสุวรรณ เข้าถ้ำหลวง สวดภาวนาก่อนเจอ 13 ชีวิต

    ไทยรัฐ สัมภาษณ์ ผู้ว่าเผย พก ท้าวเวสสุวรรณ เข้าถ้ำหลวง สวดภาวนาก่อนเจอ 13 ชีวิต

    ไทยรัฐ สัมภาษณ์ ผู้ว่าเผย พก ท้าวเวสสุวรรณ เข้าถ้ำหลวง สวดภาวนาก่อนเจอ 13 ชีวิต

    ไทยรัฐ สัมภาษณ์ ผู้ว่า เกี่ยวกับ ท้าวเวสสุวรรณ ในถ้ำหลวง หลังจากเหตุการณ์ที่ทีมนักฟุตบอลเยาวชน ทีมหมูป่า ประสพภัยติดอยู่ในถ้ำหลวง ทีมข่าวจากสำนักข่าวไทยรัฐก็ได้ขอสัมภาษณ์ท่านผู้ว่าเกี่ยวกับลำดับการดำเนินการ อุปสรรคและรวมไปถึงเรื่องราวความเชื่อเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น

    นาทีที่  08:22 น. ท่านผู้ว่าให้สัมภาษณ์กับนักข่าวไทยรัฐว่า ได้นำท้าวเวสสุวรรณ พกติดตัวไปด้วยเขาไปในถ้ำด้วย พร้อมสวดภาวานา และหลังจากนั้นไม่นานก็พบ ทีมหมูป่าทั้ง 13 คน

    ประวัติท้าวเวสสุวรรณ ตำนานท้าวเวสสุวัณ

    ประวัติท้าวเวสสุวรรณ ตำนานท้าวเวสสุวัณ มีกำเนิดจากหลายตำนานรูปร่างหน้าตาของท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) จะเป็นที่คุ้นเคยในบ้านเราเป็นอย่างดี คือ เป็นรูปยักษ์ถือตะบองขนาดใหญ่ ด้วยท่านเป็นเจ้าแห่งอสูร รากษสและภูตผีปีศาจ

    ท้าวเวสสุวรรณคือใคร ถ้าหากจะพูดถึง “เจ้า” หรือ “นาย”แห่งภูตผีปีศาจทั้งหลายแล้ว เรามักจะเอ่ยนาม “ท้าวเวสสุวัณ” หรือที่พราหมณ์เรียกกันว่า “ท้าวกุเวร” และทางพุทธเรียก “ท้าวไพสพ” ซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นล่างสุดของฉกามาพจร ชื่อสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาภูมิ

    รูปร่างหน้าตาของ ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) จะเป็นที่คุ้นเคยในบ้านเราเป็นอย่างดี คือ เป็นรูปยักษ์ถือตะบองขนาดใหญ่ ด้วยท่านเป็นเจ้าแห่งอสูร รากษส และภูตผีปีศาจ คนโบราณจึง มักทำ รูปท้าวเวสสุวรรณ แขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ภูตผีปีศาจมารบกวนเด็กเล็ก และนิยมทำ ผ้ายันต์รูปท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) หรือจำหลักเป็นด้ามของมีดหมอที่สัปเหร่อใช้กำราบวิญญาณ เนื่องจากสมัยก่อนเวลาเผาศพก็ยกขึ้นกองฟอนแล้วใส่ไฟเผา พอร้อนเข้าเส้นเอ็นก็ยึดถึงขนาดลุกขึ้นนั่ง สัปเหร่อเลยต้องใช้มีดกรีดตามเส้นเอ็นก่อน ทีนี้พอยกขึ้นเผาศพก็จะไม่กระดุกกระดิก เลยเป็นความเชื่อว่ามีดหมอจำหลักรูปท้าวเวสสุวัณสามารถปราบผีได้

    คติความเชื่อ ตำนานท้าวเวสสุวรรณ 
    คติความเชื่อ ตำนานท้าวเวสสุวรรณ

    ประวัติท้าวเวสสุวรรณ ตำนานท้าวเวสสุวัณ คติความเชื่อแบบไตรภูมิ เชื่อว่ามีท้าวโลกบาลประจำอยู่ 4 ทิศ จึงนิยมจำหลักอยู่ตามบานประตูโบสถ์ วิหาร เรียกว่า “ทวารบาล” หมายถึง ผู้ดูแลประตู บางครั้งพบทวารบาลบางแห่งเป็นแบบจีน แทนที่จะเป็นรูปเทวดาแบบไทยถือพระขรรค์ กลับเป็นเทวดาจีนคล้ายตัวงิ้ว ถือ หอก ดาบ หรือง้าว เหยียบอยู่บนสิงโตจีน เราเรียกว่า “เสี้ยวกาง” หรือ “เซี่ยวกาง” เข้าใจว่าเป็นอิทธิพลของจีนที่เข้ามาสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่ หัว รัชกาลที่ 3 เนื่องจากพระองค์นิยมงานศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบจีน ท้าวเวสสุวรรณ ของ ท่านเจ้าประคุณศรี(สนธิ์) วัดสุทัศนเทพวราราม

    ท้าวจตุโลกบาลประจำทิศทั้งสี่จะประกอบด้วย

    “ทิศตะวันออก” พราหมณ์เรียก พระอินทร์ พุทธเรียก ท้าวธตรฐ มี คนธรรพ์ เป็นบริวาร

    “ทิศตะวันตก” พราหมณ์เรียก พระวรุณ พุทธเรียก ท้าววิรูปักษ์ มีนาค ครุฑ และเทวดา เป็นบริวาร

    “ทิศใต้” พราหมณ์เรียก พระยม พุทธเรียก ท้าววิรุฬหก มี กุมภัณฑ์ เป็นยักษ์มีอัณฑะใหญ่เท่าหม้อตาลเป็นบริวาร

    และ “ทิศเหนือ” ได้แก่ ท้าวเวสสุวรรณ พราหมณ์เรียก ท้าวกุเวร พุทธเรียก ท้าวไพสพ มี อสูร รากษส และภูตผีปีศาจ เป็นบริวาร

    ท้าวกุเวรนอกจากนี้ ในตำราโบราณและงานวรรณคดีกล่าวตรงกันว่า ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) เป็นยักษ์ที่มีพัสตราภรณ์และผิวกายสีเหลืองทอง จิตใจดีงาม ดำรงอยู่ในสัตยธรรม ถึงขนาดอุทิศตนถวายพิทักษ์รักษาพุทธสถาน และองค์พระพุทธเจ้า เช่น รูปหล่อปิดทองด้านซ้ายของฐานองค์พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก ก็ทำเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) ส่วนด้านขวาเป็นยักษ์อีกตนหนึ่งชื่อ “อา ฬาวกยักษ์” เหตุที่เรียกกันว่า “ท้าวกุเวร” เนื่องจากพระพรหมเห็นว่ามีรูปร่างไม่ดี ร่างกายพิการต้องถือไม้เท้า จึงตั้งชื่อให้ดังนั้น ที่บ้านเรามาจำหลักเป็นยักษ์ถือตะบองยันพื้น ก็คงจะมีเค้าเงื่อนมาจากเรื่อง

    ท้าวเวสสุวรรณ วัดสุทัศนเทพวราราม
    ท้าวเวสสุวรรณ

    ความหมายของชื่อ “ท้าวเวสสุวัณ” นั้น เวส แปลว่า พ่อค้า หมายถึง พ่อค้าอันมีทรัพย์ อันได้แก่ ทองคำ เนื่องจากท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) เคยมีอดีตชาติเป็นพราหมณ์ เปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวย และได้นำเงินทองบริจาคให้ผู้ยากไร้ เมื่อเกิดใหม่จึงได้ครองเมืองวิสานะนคร ผู้คนจึงเรียกว่าเวสาวัณ ด้วยกุศลดังกล่าวจึงได้รับพรจากพระพรหมให้เป็นอมตะไม่ตาย และให้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติต่างๆ ทั่วแผ่นดิน

    บ้านเรารู้จักกันในชื่อ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” หรือในชื่อ “ธนบดี” แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ หรือ “ธเนศวร” แปลว่า เจ้าแห่งทรัพย์ อีกทั้งมีหน้าที่คอยจดความดีของคนทางทิศอุดรขึ้นไปจารึกและประกาศให้ปวง เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์รับรู้ ผู้คนจึงนิยมจัดสร้าง หรือ จำหลักรูปท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) และเคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งอีกด้วย คาถาท้าวเวสสุวรรณ ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ วัดพราหมณี วัดหลวงพ่อปาดแดง รูปหล่อท้าวเวสสุวรรณ เจ้าคุณศรีสนธิ์ วัดสุทัศน์

    รู้จักหน่วยSEALผู้ปฏิบัติในภารกิจถ้ำหลวง

    https://www.facebook.com/cheezebitedotcom/videos/2016508008360834/?t=4

  • 10 อันดับ ชนเผ่าพื้นเมือง โบราณ สุดแปลก

    10 อันดับ ชนเผ่าพื้นเมือง โบราณ สุดแปลก

    10 อันดับ ชนเผ่าพื้นเมือง โบราณ สุดแปลก

    ชนเผ่าพื้นเมือง : 10 อันดับชนเผ่าพื้นเมืองโบราณ ที่เหล่านักสำรวจยืนยันสุดเสียงว่า พวกเขามีอยู่จริง…มีอยู่ช่วงหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ต้องการจะจัดลำดับ หมวดหมู่ของชนเผ่าพื้นเมืองโบราณ เพื่อง่ายแก่การค้นหาและคอยดูแลอยู่ห่างๆ ปรากฏว่า รายชื่อที่พวกเขาลิสต์กันขึ้นมา มีแต่ชื่อชนเผ่าประหลาดๆ เต็มไปหมด และชนเผ่าประหลาดที่ว่านี้ ไม่ใช่ชนเผ่าเช่นพวกเผ่าอะบอริจิน เผ่าอเมซอน หรือชนเผ่าเอสกิโมอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นในทำนอง ชนเผ่าที่เดินกลับหลัง? ชนเผ่าที่มีสองเพศในคนๆ เดียว เลยแต่งงานกับตัวเอง?? ชนเผ่าที่ไม่มีปาก กินอาหารทางจมูกโดยใช้การดมเอา??? ซึ่งมันเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลยอย่างแท้จริง แต่นักสำรวจเหล่านั้นยืนกรานหนักแน่นว่ามีจริงๆ ถ้าคุณออกเดินทางไปให้ไกลจากอารยธรรมมนุษย์ปัจจุบัน ไปให้ไกลจากเทคโนโลยีสุดล้ำแล้ว เมื่อนั้นคุณจะพบพวกเขา ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีข้อมูล หรือหลักฐานมายืนยันได้ว่ามีจริงๆ แต่ก็ยังมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นพวกเขาอยู่เนืองๆ แน่นอนถ้าให้คิดแบบไม่เข้าข้างเลยนะ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เราก็ไม่ได้อยู่ด้วยตอนเขาออกำสรวจ บางทีไม่แน่ เมื่อหลายร้อยปีก่อน โลกเราอาจไม่เหมือนเช่นปัจจุบันนี้ก็เป็นได้ จะยังไงก็แล้วแต่ ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณด้วยก็แล้วกัน คิดซะว่าผมเอามาให้อ่านกันขำๆ สนุกๆ สังหารเวลากันไป พร้อมแล้วไปดูกันเลย…

    10. เดอะ เบลมมีส์ – ชนเผ่าไร้หัวแห่งแอฟริกา (The Blemmyes: The Headless Men Of Africa)

    ที่ประเทศลิบยา ช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล  เคยมีบันทึกไว้ว่า มีผู้พบเห็นชนเผ่าพื้นเมืองกลุ่มหนึ่ง ไม่มีศีรษะอยู่บนบ่า มีแค่ไหล ลำตัว แขนขาเท่านั้น ส่วนตา จมูก ปาก จะติดอยู่ตรงหน้าอกแทน ชนเผ่านี้เคยปรากฏอยู่ในบันทึกของเฮโรโดตัส โดยเขาได้ฟังมาจากชาวลิบยามาอีกที แล้วเขียนบันทึกลงไป ซึ่งเขาได้บรรยายรูปร่างตามข้างต้นนี้เป๊ะ นั่นเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน จน 400 ปีต่อมา นักเขียนชาวโรมัน พลินีผู้อาวุโส ออกมายืนยันอีกเสียงว่าพวกเขามีอยู่จริง ก่อนที่จะตั้งชื่อให้ว่า “เดอะ เบลมมีส์” และให้ข้อมูลว่าพวกเขาเป็นชนเผ่าเร่ร่อน เดินทางมาจากเอธิโอเปีย และเป็นคนเถื่อนอย่างสิ้นเชิง จนมาปีคริสศักราช 1211 นักสำรวจชื่อ แฟร์เมส อ้างว่าเขาพบกลุ่มชนเผ่าที่ไม่มีหัว อาศัยอยู่ในเกาะแถบเอธิโอเปีย จนมาถึงศตวรรษที่ 17 ก็ยังมีรายงานพบเห็นชนเผ่านี้อยู่ และข้างล่างนี้คือภาพสเก็ตช์จากคำบอกเล่าตามยุคสมัยต่อๆ กันมา

    9. คาลลิสทรี – เผ่าคนหัวสุนัขแห่งอินเดีย (The Calystrii: The Dog-Headed Men Of India)

    ช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล นักฟิสิกส์ชาวกรีกชื่อ ทีเชียส ได้เดินทางไปยังอินเดียเพื่อออกสำรวจ ก่อนจะกลับมาบ้านเกิดพร้อมเรื่องเล่าสุดบ้าคลั่ง เขาอ้างว่า ลึกเข้าไปในภูเขา เขาพบกับกลุ่มคาลลิสทรี ชนเผ่าที่ท่อนล่างเป็นคน แต่ส่วนหัวเป็นสุนัขแทน! “พวกเขาพูดไม่เป็นภาษามนุษย์เลย เอาแต่เห่าใส่กัน ผมคุยกับพวกเขาไม่รู้เรื่อง เลยต้องเห่าตอบไป ไม่ก็ใช้ภาษามือ และดูเหมือนพวกเขาจะมีจำนวนมากไม่ใช่เล่น ราว 120,000 คนเห็นจะได้” ผมเชื่อแน่นอนว่าทุกท่านต้องคิดแบบผม “ขี้โม้รึเปล่าลุง” ใช่ไหมล่ะครับ? แต่เชื่อหรือไม่ว่าชนเผ่าหัวสุนัขนี้ กลับมีรายงานคนพบเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 200 ปีต่อมา ชายนาม เมกัสทีนนีส เดินทางตามรอยทีเชียสลึกเข้าไปในหุบเขาอินเดีย และเขาก็ออกมาพูดกับสาธารณชนว่า “คาลลิสทรีมีจริง ผมเห็นมาเต็มสองตาผมเลย” ไม่ใช่แค่ชาวกรีที่พูดถึงเท่านั้น นักเขียนชาวอินเดีย รวมถึงนัดเขียนชาวจีนที่อยู่ในช่วงราชวงศ์ถังก็มีการบันทึกพบเห็นมนุษย์หัวสุนัขเช่นกัน อ้างว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในหุบเขา ใกล้กับทิเบต แต่ที่โด่งดังมากที่สุด คงจะเป็นการที่ “มาร์โค โปโล” ออกมาอ้างเช่นกันว่าพบเจอมนุษย์หัวสุนัขจริง “ผมรับรองได้เลยว่า มันมีชนเผ่าที่มีหัวเป็นสุนัขอยู่จริง”

    8. เดอะ สกีโพดส์ – เผ่าพื้นเมือง ที่มีเท้าใหญ่เท่าร่มกันฝน (The Sciopodes: The Umbrella-Footed Men)

    นอกจากมนุษย์หัวสุนัขแล้ว ทีเชียสคนเดิมยังอ้างอีกว่าเขาเจอเข้ากับกลุ่มคนที่สุดแสนประหลาด เพราะพวกเขามีขาข้างเดียว และมีเท้าใหญ่โตมโหฬาร ชนิดเอามากางเป็นร่มได้ เคลื่อนที่ไปมาด้วยวิธีการกระโดด ฟังดูน่าตลกมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่พอ 2,000 ปีต่อมา อีซีโดโรแห่งเซบียา บาทหลวงโรมันคาทอลิกชาวสเปน ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าพวกเขามีอยู่จริง ถึงขั้นนำไปบรรจุไว้ในสารานุกรมสัตว์ในตำนาน พร้อมเขียนแผนที่บอกตำแหน่งพวกเขาว่าอยู่ตรงไหนในอินเดียด้วย แต่แผนที่ดังกล่าวมีอันต้องสูญสลายตามกาลเวลา

    7. พานอตติ – ชนเผ่าที่ได้ยินทุกสรรพสิ่ง (The Panotti: The Men Of All-Ears Island)

    มีรายงานชิ้นหนึ่งของ พลินีผู้อาวุโส บันทึกเอาไว้ว่า ลึกเข้าไปในแผ่นดินซิทเธีย บังเกิดชนเผ่ากลุ่มหนึ่งชื่อ พานอตติ ชนเผ่ากลุ่มนี้จะมีใบหูที่ใหญ่มาก ใหญ่ถึงขนาดที่พวกเขาเอามันมาห่มตัวแทนเสื้อผ้าได้เลย เพราะงี้เพวกเขาเลยไม่ใส่เสื้อผ้า หรือปิดบังร่างกายกัน ฟังดูโอเวอร์สุดๆ แต่พานอตติก็เคยถูกกล่าวภึงในงานเขียนร่วมสมัยของ ปอมโปเนียส เมล่า ยืนยันว่าพลินีพูดความจริง มีชนเผ่าพานอตตินี้อยู่จริงๆ ในงานเขียนของเมล่ากล่าวว่า ชนเผ่าพานอตติอาศัยอยู่บนเกาะออร์กนีย์ หรือบริเวณสก็อตแลนด์ในปัจจุบัน

    6. ฟู่ซาง – อาณาจักรที่มีแต่สตรี (Fusang: The Kingdom Of Women)

    เดาว่าในหัวทุกคนคงนึกไปถึงหนังเรื่อง Wonder Woman กันหมดแล้วแน่นอน ไม่ใช่ครับ คราวนี้เป็นเรื่องเล่าจากทางฝั่งเอเชียกันบ้าง มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปีคริสศักราช 500 มิสชันนารีชาวจีน ฮุ่ยเฉิน เดินทางไปยังตะวันออกไกลของประเทศจีน เพื่อค้นหาว่ามีอะไรอยู่ ณ ที่นั้น ก่อนเขาจะกลับมาพร้อมเรื่องเล่าสุดอัศจรรย์ เขาอ้างว่าเดินทางไปเจออาณาจักรหนึ่งชื่อ ฟู่ซาง เป็นอาณาจักรที่มีแต่ผู้หญิง ไม่มีผู้ชายเลยสักคน เขาเล่าว่าผู้หญิงในอาณาจักรนี้มีหน้าตาสวยงาม มีขนขึ้นตามตัวเต็มไปหมด เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า หากจะให้กำเนิดลูก พวกเธอเพียงแค่เดินลงไปในน้ำ ยืนอยู่สักพักจนเด็กค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในมดลูกของพวกเธอ ใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น เด็กก็คลอดออกมา

    5. อริมาสโปอิ – มนุษย์ภูเขาตาเดียว (The Arimaspoi: The One-Eyed Mountain Men)

    ในแผ่นดินซิทเธีย ลึกเข้าไปในหุบเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะหนาชื่อริเปียน ยังมีชนเผ่ากลุ่มหนึ่งชื่อ อริมาสโปอิ ผู้มีดวงตาเพียงข้างเดียว ตามบันทึกของชาวกรีกโบราณเล่าว่า เพราะชนเป่ากลุ่มนี้ แผ่นดินซิทเธียถึงมั่งคั่ง ร่ำรวย ตรงจุดนี้เฮโรโดตัสอธิบายไว้ว่า พวกเขาหากินดำรงชีพด้วยการขโมยทองคำพวกกริฟฟิน (ห๊ะ??) เพราะอริมาสโปอิอาศัยอยู่ใกล้ๆรังของกริฟฟิน สัตว์ในตำนานที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความโลภ คอยฉกทองจากนักเดินทางคนอื่นๆ เอามากกไว้ที่รังของตัวเอง มีเพียงอริมาสโปอิเท่านั้น ที่หาญกล้าไปฉกกลับมาได้ เรียกได้ว่าเรื่องนี้ ค่อนข้างจะอภินิหารมากที่สุดเลย เค้าความจริงมีน้อยมาก แต่ก็ม่นักโบราณคดีจำนวนไม่น้อย ที่เชื่อว่าพวกเขาอาจจะมีอยู่จริง

    4. อบาริมอน – ชนเผ่าเท้ากลับด้าน (The Abarimon: The Tribe With Backward Feet)

    มีเรื่องเล่าบันทึกไว้ว่า ขณะที่อเล็กซานเดอร์มหาราช เตรียมกำลังพลจะบุกแดนตะวันออก พระองค์ได้ว่าจ้างชายคนหนึ่งนามว่า ไบทอน เข้าไปสืบราชการลับในอินเดีย เมื่อไบทอนกลับมารายงานให้พระองค์ฟัง เรื่องราวของชนเผ่าที่มีเท้ากลับด้านก็เริ่มต้นขึ้น เขาเล่าว่าลึกเข้าไปในหุบเขาหิมาลัย มีชนเผ่าแปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ เรียกว่าเผ่าอบาริมอน ปลายเท้าของพวกเขาจะหันกลับไปทางด้านหลัง ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาเดินลำบากแม้แต่น้อย เพราะไบทอนอ้างว่าเขาแอบไปเห็นอบาริมอนวิ่งไล่กวางตัวหนึ่ง ชนิดตีคู่กันสูสีมาก ซึ่งไบทอนบอกว่าเขาเกือบจะเอากลับมาให้อเล็กซานเดอร์มหาราชดูด้วยซ้ำ แต่เหมือนว่าปอดของพวกเขาจะรับมือกับสภาพอากาศภายนอกไม่ได้ เพราะทันทีที่อบาริมอนออกจากถิ่นที่อยู่ เขาก็เกิดสำลัก ขาดอากาศหายใจขึ้นมาทันที นอกจากไบทอนจะเล่าได้กำกวมจนยากที่จะเชื่อแล้ว เมกัสทีนนีส์ก็เข้ามาผสมโรงด้วยเช่นกัน อ้างว่าเขาก็เห็นพวกอบาริมอนด้วย ตกลงจะเชื่อใครดีเนี่ย?

    3. มาร์กคิลลิส – ชนเผ่าที่เป็นกะเทยหมดทุกคน (The Makhlyes: The Tribe Of Hermaphrodites)

    ตามคำบอกเล่าของชาวโรมัน ในเอธิโอเปียยังมีชนชาติหนึ่งเรียกว่า มาร์กคิลลิส ดินแดนที่ประชากรทุกคน “เป็นกะเทย” กันหมด แต่กับชาวกรีก ผู้ซึ่งเข้ามาติดต่อสมาคมกับมาร์กคิลลิสเป็นชนชาติแรก และเป็นชนชาติที่ให้เกียรติผู้หญิงแล้ว พวกเขาไม่เห็นว่าพวกมาร์กคิลลิสเป็นกะเทยอะไรเลย ซึ่งมีหรือเฮโรโดตัสจะไม่พลาด เขาได้บันทึกเรื่องราวของพวกเขาลงสมุด เล่าว่ากลุ่มมาร์กคิลลิสบูชาเทพธิดาแห่งสงคราม และเฉลิฉลองให้แก่เทพของพวกตน โดยการจับผู้หญิงมาต่อสู้กัน ให้อาวุธเพียงแค่ท่อนไม้และก้อนหิน เฮโรโดตัสไม่ได้พูดถึงอวัยวะเพศของพวกเขา เล่าแต่เพียงว่าพวกมาร์กคิลลิส จะมีเต้านมเหมือนกับของผู้หญิงอยู่ข้างซ้าย

    2. แอสโตมอย -ชนเผ่าอินเดียที่กิน “กลิ่นหอม” เป็นอาหาร (The Astomoi: The Indian Tribe That Eats Odors)

    ช่วงที่เมกัสทินนีส์เดินทางไปอินเดีย เขาได้พบเจอชนเผ่าประหลาดมากมายตามที่เล่าไปข้างต้น แต่มีอยู่เผ่าหนึ่ง ที่เขายกให้เป็น “ที่สุดของชนเผ่าประหลาด” นั่นคือเผ่าแอสโตมอย เป็นชนเผ่าพื้นเมืองชายที่มีขนยาวรุงรังเต็มร่างกาย สวมชุดทำจากสำลี และพวกเขาไม่มีปาก!!! นั่นทำให้วิธีกินอาหารของพวกเขาสุดแสนจะพิสดาร เมกัสทินนีส์อ้างว่า ชนเผ่าแอสโตมอยจะใช้วิธี “ดมกลิ่น” ในการกินอาหาร สูดเอาสารอาหารและความอร่อยเข้าทางโพรงจมูก ให้สารอาหารที่สูดเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่พวกเขาก็ต้องระวังการดมกลิ่นไว้ด้วย เพราะถ้าไปดมอะไรผิดสำแดงมา นั่นอาจทำให้พวกเขาถึงตายได้!! นักสำรวจช่วงยุคกลางอ้างว่าเคยพบชาวแอสโตมอย เล่าว่าพวกเขาอาศัยอยู่แถวต้นทางของแม่น้ำคงคา หนึ่งในคณะสำรวจ จอห์น แมนเดอวิลล์ เป็นคนที่เล่าเรื่องราวของชาวแอสโตมอยได้ฉะฉาน รู้เรื่องมากที่สุด เหมือนเป็นการย้ำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาไปเจอมาจริงๆ ตามคำบอกเล่าของจอห์น เขาเล่าว่าแอสโตมอยไม่ต่างอะไรกับพวกเผ่าปิกมี สื่อสารกันโดยใช้เสียงนาสิก หรือเสียงขึ้นจมูกพูดคุยกัน

    1. มนุษย์ครึ่งแพะแห่งลิบยา (The Libyan Satyrs: The Goat Men Of Africa)

    หลายคนคงรู้จักเจ้าสัตว์ตำนานอย่าง เซเทอร์ ที่เป็นมนุษย์ครึ่งคนครึ่งแพะกันตามตำนานกรีกเป็นอย่างดี และเราก็รู้ด้วยว่า มันเป็นสัตว์ที่ไม่มีอยู่จริง แต่มีรายงานหลายฉบับ ที่มีคนออกมาอ้างว่าเห็นมนุษย์ครึ่งแพะที่นั่นที่นี่มากมาย คนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน เฮโรโดตัสคนเดิม เขาเล่าว่าเคยเจอหนังสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นของมนุษย์ครึ่งแพะ จนปัจจุบันมันกลายเป็นจุดดึงดูด ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกันที่แม่น้ำมิแอนเดอร์ บางคนอ้างอีกว่าเคยจับมันได้ และพามาที่โรม แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดเหมือนเดิม…

    เรื่องเล่าตำนานที่น่าสนใจ

     

  • NAVY SEAL มาทำความรู้จักกับ หน่วยรบพิเศษ นักทำร้ายใต้น้ำจู่โจม

    NAVY SEAL มาทำความรู้จักกับ หน่วยรบพิเศษ นักทำร้ายใต้น้ำจู่โจม

    NAVY SEAL มาทำความรู้จักกับ หน่วยรบพิเศษ นักทำร้ายใต้น้ำจู่โจม

    NAVY SEAL  หรือ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ เรียกโดยทั่วไปว่า ซีล (สะกดเป็นภาษาอังกฤษ แบบนี้นะ SEAL ย่อมาจาก Sea Air Land ไม่ใช่ ZEAL นะ) เป็นหน่วยหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือไทย ที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นหน่วยที่มีการฝึกหนักที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษของทุกเหล่าทัพ

    Navy Seal

    “แม้จะอันตรายเท่าชีวิต แต่ภารกิจต้องสำเร็จ”

    นี่คือคำปฏิญาณของทหารหน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจมพิเศษ

    ประวัติความเป็นมา 

    ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังทางเรือของทั้งฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ต่างก็ได้ส่งหน่วยรบพิเศษซึ่งเป็นหน่วยรบขนาดเล็กที่ได้รับการฝึก ให้มีขีดความสามารถเหนือทหารทั่วไปเข้าปฏิบัติการทำลายกองเรือและสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้าม

    Navy Seal

    ทำการก่อวินาศกรรมและปฏิบัติการลับอื่น ๆ ซึ่งผลการปฏิบัติของแต่ละฝ่ายต่างก็สร้างความเสียหายให้กับฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงแล้วแต่ภารกิจของหน่วยรบพิเศษก็ไม่ได้จบสิ้นไปด้วย ตรงกันข้ามกลับได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านองค์บุคคล องค์วัตถุและองค์ยุทธวิธี

    Navy Seal

    สำหรับประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2495 กระทรวงกลาโหม ได้มีความคิดที่จะจัดตั้งหน่วยทำลายใต้น้ำขึ้น และได้เชิญผู้แทนเหล่าทัพกับกรมตำรวจไปประชุม เรื่อง การจัดตั้งหน่วยฝึกว่ายน้ำ ร่วมกับ จนท.ทร.สหรัฐฯ ประจำหน่วย MAAG (MILITARY ASSISTANCE ADVISORY GROUP) การประชุมคราวนั้นที่ประชุมมีมติให้ กองทัพเรือ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดตั้งหน่วยฝึก และจากการหารือระหว่าง กองทัพเรือ กับ MAAG ซึ่งได้แนวความคิดในการจัดตั้งหน่วยฝึก

    พ.ศ. 2558 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ เป็นผู้ให้การฝึกแก่นักกีฬาสโมสรฟุตบอลราชนาวี ก่อนเข้าร่วมการแข่งไทยลีกคัพ และในช่วงกลางปี พ.ศ. 2561 หน่วยนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยถ้ำหลวง

    NAVY SEAL

    บทบาท การประเมินข่าวกรอง
    การลาดตระเวน
    ปฏิบัติการท้าทายซึ่งหน้า
    สงครามนอกแบบ
    การต่อต้านการก่อการร้าย
    กำลังรบ 144
    ผู้บังคับบัญชา
    ผบ. ปัจจุบัน พลเรือตรี อาภากร อยู่คงแก้ว

    การฝึก (มีคลิปด้านล่างสุด)

    การฝึกในหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-8 เดือน นับเป็นการฝึกหลักสูตรทางทหารที่มีระยะเวลานานที่สุดของไทย แบ่งออกเป็น 5 ช่วง ได้แก่

    1. การแนะนำการฝึกเบื้องต้น ฝึกการออกกำลังกายและการฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์
    2. การฝึกจริง ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์
    3. การฝึกแบบเข้มข้น หรือเรียกว่า “สัปดาห์นรก” ใช้เวลา 120 ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก
    4. การฝึกสอนยุทธวิธีต่าง ๆ
    5. การฝึกยุทธวิธีในสภาพจริง ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

    Navy seal

    เมื่อสำเร็จหลักสูตรจะได้ประดับตราความสามารถ ซึ่งออกแบบโดย พลเรือโท พัน รักษ์แก้ว โดยส่วนประกอบของตรามีความหมายดังนี้

    • ปลาฉลาม สีขาวหรือสีน้ำเงิน หมายถึงจ้าวแห่งท้องทะเล ดุร้าย น่าเกรงขาม สง่างาม แข็งแกร่ง
    • คลื่น หมายถึง ความน่ากลัวของทะเลที่มีเกลียวคลื่นตลอดเวลา หรืออุปสรรคของคลื่นหัวแตก แต่ฉลามก็ไม่ได้หวั่นเกรง
    • สมอเรือ หมายถึง ทหารเรือ ในอดีตหลักสูตรจะรับเฉพาะทหารเรือเท่านั้น แต่ในปัจจุบันทางหน่วยได้รับทหารบก ทหารอากาศ และตำรวจเพิ่มด้วย
    • ธงชาติ หมายถึง การยอมพลีเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    กฎสำคัญของนักเรียนนักทำลายใต้น้ำจู่โจม คือ มีจิตใจเข้มแข็ง กล้าเผชิญหน้าต่อปัญหาต่าง ๆ ตัดสินใจด้วยความเด็ดขาด รวดเร็ว แม่นยำ ถูกต้อง เอาตัวเองรอดได้โดยไม่ทิ้งเพื่อน และมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    Navy Seal

    แหล่งที่มาของอาวุธ

    ที่มา อาวุธ แบบ
    ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี Heckler & Koch G36 G36KV
    ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี Heckler & Koch UMP UMP 9
    ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี เฮคแลร์อุนด์คอค เอ็มเพ5 MP5SD, MP5K
    ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี Heckler & Koch USP USP
    ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี Heckler & Koch HK21 HK23E
    ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี เฮคเลอร์แอนด์คอช พีเอสจี 1 PSG-1,MSG 90
    ธงของสหรัฐ สหรัฐ KAC SR-25 SR25
    ธงของสหรัฐ สหรัฐ Barrett M82 M82
    ธงของสหรัฐ สหรัฐ Barrett M95 M95
    ธงของสหรัฐ สหรัฐ Bushmaster M4 M4A3 SOPMOD
     สหราชอาณาจักร Accuracy International AW50
     สวิตเซอร์แลนด์ SIG 516 SIG-516

    Navy Seal Gallery

    NAVY SEAL NAVY SEAL

    ขอบคุณภาพจาก FB : Thai Navy Seal
    และ RBJ


    บทความเกี่ยวข้อง ถ้ำหลวง 

  • มนุษย์จำศีลได้เหมือนสัตว์ หรือไม่

    มนุษย์จำศีลได้เหมือนสัตว์ หรือไม่

    มนุษย์จำศีลได้เหมือนสัตว์ หรือไม่

    มนุษย์จำศีล คงเป็นคำที่ไม่ค่อยคุ้นหูเราสักเท่าไหร่ เพราะในปัจจุบัน ยังไม่มีการจำศีลของมนุษย์ในรูปแบบที่เหมือนกับสัตว์ อย่างเช่น หมี ปลาบางชนิด หรือกบ ที่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลต่างๆแล้ว จะมีการถือศีล คือการอดอาหารและขยับร่างกายให้น้อยที่สุด ที่สัตวืทำอย่างนั้นเนื่องจากเป็นระบบกลไลของสัตว์เพื่อเอาตัวรอด เมื่อเกิดสภาวะขาดแขลนอาหาร หรือเข้าสู่ฤดูกาลที่หนาวจนไม่สามารถหาอาหารได้ สัตว์เหล่านี้จะหลบอาศัยอยู่ในถ้ำ หรืออยู่ใต้ดิน ในที่มืด ไม่ออกมาข้างนอก กินอาหารที่ตุนไว้ ใช้พลังงานให้น้อย หรือบางชนิดสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานานๆ

    ในมนุษย์เอง การจำศีลนั้นยังไม่ปรากฏ เนื่องจากมนุษยืสามารถมีสภาวะที่ทนต่สภาพอากาศได้ และในส่วนของอาหารที่มนุษย์สามารถกินได้ก็มีอยู่หลากหลาย ทำให้ร่างกายไม่จำเป็นที่จะต้องมีสภาวะจำศีล แต่หากเกิดสถาณการณ์ฉุกเฉิน เช่น เกิดติดอยู่ในถ้ำหรือในบ้านร่าง ที่มืดที่แสงไม่สามารถส่องเข้าถึง และขาดน้ำ-อาหาร ร่างกายจะสามารถเข้าสู่สภาวะคล้ายการจำศีล ในช่วงเวลา 7 วันขึ้นไป คุณจะสามารถนอนหลับยาวได้เป็นเวลานานๆ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถรับรู้ช่วงเวลาได้ส่งผลต่อการทำงานของระบบร่างกายมนุษย์ ยิ่งถ้าขาดอาหารแล้วด้วยร่างกายจะบังคับให้คุณ นอน เพื่อประหยัดพลังงาน

    อย่างไรก็ตามเหตุการณืดังกล่าวไม่ได้แปลว่ามนุษย์สามารถจำศีลได้ เพราะหลังจากนั้นร่างกายของคุณจะอ่อนแอ สภาวะเลือดจะเริ่มเป็นพิษ ระบบร่างกายจะรวน และทำให้คุณเสียชีวิตได้ในกรณีที่ไม่ได้รับน้ำและอาหารเลยเป็นเวลานาน อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการจำศีล เพราะการจำศีลไม่ใช่แค่การนอนหลับ มันมีความแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียด อย่างเช่น อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ การเผาผลาญพลังงานในร่างกาย การทำงานของสมอง และการทำงานในระดับเซลล์ต่าง ๆ และคนเรายังไม่มีใครเคยจำศีล มีแต่อาการโคม่าซึ่งมีคนเคยทำสถิติโลกเอาไว้ที่ 19 ปีก่อนจะฟื้นขึ้นมา นั่นคือนาย Jan Grzebski

    สรุป มนุษย์จำศีลแบบสัตว์ไม่ได้ แต่มีสภาวะจำศีล ที่ร่างกายจะสามารถประหยัดพลังงานเมื่อคุณตกอยู่ในสภาวะขาดน้ำและอาหาร แต่ได้ไม่นาน ร่างกายจะทรุดและตกอยู่ในอาการโคม่า อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด ซึ่งระยะเวลาของสภาวะนี้แต่ละคนก็จะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกาย

    เมื่อมนุษย์จำศีลไม่ได้ด้วยตัวเอง เราก็ยังไม่หยุดอยู่แค่จุดนั้น

    ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้มนุษย์คิดค้นและสร้างเครื่องจำศีลขึ้นมาเพื่องานด้านอวกาศโดยนาซาเริ่มทดลองเทคโนโลยีการจำศีลแบบกบให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าสู้ภาวะการหลับลึกย่นระยะเวลาที่ร่างกายเสื่อมสภาพตลอด 180 วันที่เดินทางจากโลกสู่ดาวอังคาร

    องค์การนาซา ทำการทดลองหาเทคโนโลยีเพื่อให้มนุษย์ไม่ต้องศูนย์เสียพลังงานและความเสื่อมสภาพของร่างกายด้วยการทำให้หลับหรือเรียกว่าจำศีลแบบกบ เพราะการเดินทางท่องอวกาศจากโลกไปดาวอังคารนั้นกินเวลาร่วม 180 วัน หรือราว 6 เดือน
    โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้ถูกดัดแปลงจากวิธีที่โรงพยาบาลใช้ในคนไข้ป่วยหนัก เพื่อให้คนไข้อยู่ในภาวะหยุดนิ่งและหลับไป ซึ่งต้องลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดลงเหลือราว 31.6-33.9 องศาเซลเซียส เป็นการลดอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ อีกทั้งยังมีการเสียบท่อหายใจและท่ออาหารเข้าทางจมูกของลูกเรือเพื่อให้ลูกเรือยังได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอตลอดการเข้าสู่ภาวะจำศีลนี้ และยังต้องมีการมัดลูกเรือให้เข้าที่กั้นไม่ให้ลูกเรือกลิ้งหรือขยับตัว
    ส่วนการปลุกให้ลูกเรือพวกนี้ตื่นนั้นทำด้วยการหยุดการปล่อยอากาศหรือไม่ก็เป็นระบบเตือนช่วยเร่งกระบวนการเหมือนอย่างในภาพยนตร์ ทั้งองค์การนาซาต้องเตรียมอาหารและน้ำให้เพียงพอต่อลูกเรือทั้งหมดได้ใช้งานตลอด 180 วัน ซึ่งนั่นหมายถึงอาหารและน้ำรวมกว่า 220 – 400 ตัน และอีกอย่างที่ต้องทำคือติดตั้งระบบการปิดแบบไม่ใช้นักบินเพื่อความปลอดภัยของลูกเรือเอง
    เทคโนโลยีการจำศีลแบบกบที่ว่านี้เป็นการตัดปัญหาเรื่องการหาอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆของลูกเรือระหว่างการเดินทางถึงดาวอังคาร ทั้งเป็นการลดปัญหาด้านสภาวะแวดล้อมด้านจิตใจที่อาจเกิดขึ้นกับลูกเรือได้อีกด้วย
    ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับใครที่อาจจะสนใจ แช่ร่างตัวเองไว้เพื่อรอการคืนชีพ https://alcor.org/