หมวดหมู่: ตำนาน

  • เปิดตำนานเมืองลับแล!! เมืองลี้ลับที่ถูกซ่อนเร้น ตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณ

    เปิดตำนานเมืองลับแล!! เมืองลี้ลับที่ถูกซ่อนเร้น ตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณ

    เรื่องลี้ลับเล่าขานของตำนานพื้นบ้าน มีมาแต่อดีตเรื่องราวเก่าแก่ที่เล่ากันสืบทอดต่อกันมา “อำเภอลับแล หรือ เมืองลับแล” เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นชุมชนโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย1 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2444 ความเป็นมาของคำว่า “ลับแล” นั้น ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

    (การแต่งกายของชาวลับแลในสมัยรัชกาลที่ 5 จากตำนานหลักฐานจึงทำให้ทราบว่ากลุ่มชนส่วนใหญ่ที่มา อยู่ในบริเวณเมืองลับแลในปัจจุบันนั้นอพยพมาจากอาณาจักรเชียงแสนโบราณ (โยนกนาคพันธุ์) )

    ว่าเดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ

    คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย อำเภอลับแลนอกจากจะมีโบราณสถานที่น่าสนใจมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองล้านนา เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด เป็นแหล่งปลูกลางสาด และทุเรียนหลง-หลินลับแล

    ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด หลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่เดิมเคยเป็นเมืองใหญ่ที่เป็นชุมชนของพวกละว้าและขอม มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน เพราะได้มีการขุดพบกลองมโหระทึกและพร้าสําริด ได้ในบริเวณดังกล่าว เมื่ออาณาจักรขอมล่มสลายลง คนไทยก็ได้เข้ามาครอบครอง

    (สมุดไทยบัญชีถือสังกัดมูลนายประจำแขวงเมืองลับแล ในสมัยรัชกาลที่ 4)

    เมืองลับแลนั้นเป็นอำเภอเล็กๆ การเดินทางไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่า เมืองลับแล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า…..

    ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป.

    ( ประตูสัญลักษณ์อำเภอลับแล หลังจากผ่านเหตุการณ์โคลนถล่มเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 )

    มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมี ศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป

    ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน

    (ประติมากรรมแม่ม่ายเมืองลับแล บริเวณประตูเมืองลับแล (ใหม่) แสดงถึงตำนานเล่าขานของเมืองลับแลอันเป็นที่เลื่องลือมาช้านาน)

    วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า “แม่มาแล้วๆ” มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก็กลับไปเมืองลับแล

    ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียด รวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง

    ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดุก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม

    (อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ คนดีเมืองลับแล บริเวณตัวเมืองลับแล)

    เมืองลับแลเดิมนั้นสันนิษฐานว่าเป็นชุมชนในสมัยสุโขทัยก่อนจะร้างลงในช่วงหลัง ดังการพบหลักฐานปฐมภูมิ คือศิลาจารึกซึ่งขุดได้ที่หน้าวิหารวัดเจดีย์คีรีวิหาร มหาอำมาตย์ตรี พระยานครพระราม ส่งเข้าหอสมุดวชิรญาณ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2473 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ให้ความเห็นว่าเนื้อหาจารึกน่าจะกล่าวตั้งแต่ครั้งเมื่อพระยาลิไทยขึ้นเสวยราชย์

    ประกอบกับเนื้อหาในศิลาจารึก การสถาปนาพระบรมธาตุโดยพระยาลิไทย สอดคล้องกับลักษณะของฐานพระเจดีย์วัดเจดีย์คีรีวิหาร ที่มีเค้าโครงของฐานเขียงสามชั้นแบบสุโขทัย ศิลาจารึกดังกล่าวจึงเป็นเครื่องยืนยันว่าที่ตั้งเมืองลับแลในปัจจุบัน เป็นชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ก่อนจะถูกทิ้งร้างและมีการอพยพเทครัวชาวเชียงแสนมาตั้งรกรากเพิ่มเติมในช่วงหลัง

    ขอบคุณข้อมูลจาก : wikipedia

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : CheezeBite , “คุณพ่อเที่ยง น่วมมานา” หนึ่งในปรมาจารย์ด้านการสักยันต์ กับ เรื่องราวความขลังอันเหลือเชื่อ!

  • “คุณพ่อเที่ยง น่วมมานา” หนึ่งในปรมาจารย์ด้านการสักยันต์ กับ เรื่องราวความขลังอันเหลือเชื่อ!

    “คุณพ่อเที่ยง น่วมมานา” หนึ่งในปรมาจารย์ด้านการสักยันต์ กับ เรื่องราวความขลังอันเหลือเชื่อ!

    อาจารย์เที่ยง น่วมมานา วัดทอง (วัดสุวรรณาราม) เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ อาจารย์เที่ยงท่านนี้เป็นฆราวาสจอมขมังเวทย์ ที่เรียนวิชาต่างๆมามากมาย

    ประวัติอาจารย์เที่ยง น่วมมานา

    ฆาราวาสยุคสงครามอินโดจีน
    เรื่องเก่าๆ เล่าอดีต เมื่อครั้งกระโน้น ท่านอาจารย์เที่ยงนวมมานา เล่าให้ฟังไว้ว่าเมื่อครั้งท่านอาจารย์เที่ยงยังหนุ่มอยู่เคยได้พบเห็นเหตุการณ์อันเป็นที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับอาจารย์ฟ้อนไว้ว่า ที่สถานีรถไฟบางกอกน้อยได้เห็นหญิงสาวฝาแฝดสองคนกล่าววาจาหมิ่นประมาทท่านอาจารย์ฟ้อน เมื่อท่านได้ยินท่านบอกแก่สาวทั้งสองคนว่า “เย็นนี้เอ็งทั้งสองคนมาคอยที่นี่ ข้าจะไปธุระก่อนตอนเย็นจะมารับ ท่านอาจารย์เที่ยงบอกว่าเห็นทั้งสองคนมีอากการเหมื่อนคนเหม่อลอยตลอด และเดินกลับบ้านไปพอบ่ายๆ ก็ออกมารออยู่ที่สถานีรถไฟ พอท่านอาจารย์ฟ้อนมาถึงท่านเพียงบอกแค่ว่าตามมา หญิงสาวทั้งสองก็ออกเดินทางไปพร้อมท่าน
    กว่าทางบ้านของหญิงสาวจะรู้และตามหาเจอก็ปาเข้าไปสามเดือน ต้องไปขอขมาท่านก่อนจึงได้ลูกสาวกลับมา ท่านอาจารย์เที่ยงเคยยกย่องท่านไว้ว่าวิชานะจังงังของท่านเป็นเลิศจริงๆ อ.เที่ยง น่่วมมานา กับพระเวทย์ดับพิษไฟ

    อ.เที่ยง น่วมมานา เป็นอาจารย์สัก ที่ขึ้นชื่อลือชาทางด้านคงกระพันชาตรี นับว่าเป็นสายเหนียว ทีมีคนรู้จักกันมาก โดยเฉพาะตัวอ.เที่ยง นับว่าเหนียวแบบสุดๆ ท่านเคยปีนขึ้นไปหยิบพระให้ลูกศิษย์ แล้วพลัดตกลงมา ถูกเข็มสักที่ตั้งอยู่แทงเข้าไปที่ชายโครง ปรากฎว่าเข็มสักที่ทั้งแหลมทั้งคม หาระคายผิวหนังท่านไม่ กลับเป็นเข็มสักซะอีก ที่ถึงกับยู่ ต้องมานั่งแต่งตั้งนานจึงจะใช้ได้

    ว่ากันว่า ท่านเป็นอาจารย์สักมาตั้งแต่ สมัยสงครามอินโดจีน แต่ท่านมามีชื่อเสียงมาก หลังปี๒๕๐๐ เพราะรุ่นทีเป็นครูบาอาจารย์ ทะยอยล่วงลับไปสิ้น อ.เที่ยง เป็นอาจารย์ฆราวาส ร่วมสมัยกับ อ.ชุม ไชยคีรี อ.เจ๊ก สามแยกไฟฉาย อ.เฮง บ้านบาตร อ.รอด บางกะปิ ทุกสายที่เอ่ยนามมา ล้วนมีศิษย์อยู่ระดับหมื่นขึ้นทั้งนั้น

    ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์มาคุย กับอ.เที่ยง ที่สำนัก มีตอนนึงลูกศิษย์ได้พูดถึงพันเอกชม ได้แสดงดับพิษไฟ ล้วงน้ำมันเดือด ลูดโซ่เผาไฟ แล้วเอ่ยชมว่าเป็นเรื่องแปลกมาก อ.เที่ยงจึงกลาวว่า ไม่เห็นแปลก คนชนบทที่ทำได้มีเยอะแยะไป

    หลังจากลูกศิษย์ได้ยิน อ.เที่ยงพูดเช่นนั้น ก็ถามแล้วอาจารย์ทำได้ไหม อ.เทียงก็ตอบว่าก็ทำได้อยู่ ลูกศิษย์ก็ขอ อ.เที่ยงแสดงให้ดู อ.เที่ยงเลยให้ไปซื้อน้ำมันพืชกับไพรมาหัวหนึ่ง เมื่อได้ของมาแล้ว อ.เที่ยงก็เอากระทะทองเหลือง แบบที่เค้าทำขนมมาตั้งไฟ เอาน้ำมันเทลงไป เอาไพรที่หั่นไว้ห้าแว่น ลงอักขระเลขยันต์ ใส่ลงไป พอเห็นน้ำมันร้อนได้ที่ ก็เอาใบพลูใส่เข้าไป ปรากฎว่าใบพลูเหลืองกรอบแล้วไหม้ในที่สุด หลังจากนั้นท่านก็บริกรรม พระคาถาโมคคัลลาดับพิษไฟ เป่าลงไป แล้วบอกลูกศิษย์ให้เอามือจุ่มน้ำมัน แต่ลูกศิษย์ไม่กล้า บอกอาจารย์แสดงให้ดูหน่อย อ.เที่ยง จึงว่าถ้าผมจุ่มให้ดูแล้ว คุณต้องจุ่มนะ ว่าแล้วอ.เที่ยงก็เอามือจุ่มลงไปน้ำมันให้ดู ลูกศิษย์ก็เลยจุ่มบ้าง พอเห็นไม่ร้อนจริง ก็เอามือจุ่มอีกหลายเที่ยว

    เรื่องราวความขลัง 7 เรื่องของคุณพ่อเที่ยง มาให้ฟัง

    เรื่องที่ ๑

    เมื่อครั้งหนึ่งพ่อเที่ยงจะหยิบพระจากบนหิ้ง มาแจกลูกศิษย์ ด้วยหิ้งพระสูงท่านจึงต่อเก้าอี้ แล้วพลัดตกลงมา แขนจึงไปถูกกับเข็มสักที่ตั้งหงายอยู่ กลับไม่มีบาดแผลแม้รอยบางบอน แต่เข็มสักบิดเบี้ยวไปเลย ท่านก็หันมายิ้มแล้วบอกกับศิษย์ว่า “คนแก่แล้ว หนังมันหย่อนยาน เลยไม่เข้า” แล้วก็ทำการลับเข็มสักใหม่เป็นการใหญ่เลยทีเดียว

    เรื่องที่ ๒

    เมื่อครั้งที่พ่อเที่ยงกลับมาจากข้างนอก กำลังจะกลับบ้าน ฝนเกิดตกซะก่อน ก็ต้องพากันเดินตากฝนกลับพอมาถึงที่บ้านแล้ว กลุ่มลูกศิษย์ก็พากันหาผ้ามาให้ท่านเช็ดตัวเป็นการใหญ่เลยเพราะกลัวว่าท่านจะเป็นหวัด พอหยิบผ้ามากำลังจะยื่นให้ท่านกลับพบว่า ตัวท่านไม่เปียกฝนเลยแม้แต่น้อย

    เรื่องที่ ๓

    เมื่อตอนพ่อเที่ยงไม่สบายอยู่ที่โรงพยาบาลลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งหลังจากกลับจากธุระแล้ว ระหว่างขับรถ กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะนำของกินไปให้แม่ก่อน หรือว่าจะไปเยี่ยมอาจารย์ก่อน เมื่อคิดแล้วก็วนรถกลับไปเยี่ยมอาจารย์ที่โรงพยาบาล  เมื่อตอนจะกลับพ่อเที่ยงก็บอกกับศิษย์คนนั้นว่า “รีบกลับเอาของกินไปให้แม่เถอะ” ทั้งๆที่ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้เลย แต่ท่านก็สามารถทราบได้

    เรื่องที่ ๔

    มีคนรู้จักท่านคนหนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าเป็นเพื่อนของท่านหรือป่าว) ข้องใจ สงสัย อยากรู้ว่าผีมีจริงหรือป่าว เลยเข้ามาถามกับพ่อเที่ยง ท่านก็ตอบกลับไปว่า “มีจริง” แล้วก็นัดเวลาให้มาพบท่านแล้วพาไปที่หนึ่ง (คาดว่าจะเป็นป่าช้า) หลังจากนั้นก็ทำเอาคนอยากรู้หัวโกร๋น ไม่สบายไปหลายวันเลยทีเดียว เพราะท่านรู้จริง ทำได้จริง พิสูจน์ได้

    เรื่องที่ ๕

    เมื่อก่อนงานไหว้ครูอาจารย์หาญ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อเที่ยงคนหนึ่ง ได้เข้ามาหาท่าน แล้วก็แจ้งวันไหว้ครู พร้อมกับเชิญท่านให้ไปงานไหว้ครูให้ได้ ท่านจึงได้รับปาก เมื่อถึงเวลา ท่านก็ออกเดินทางพร้อมกับลูกศิษย์ขับรถไปส่ง ขณะถึงกลางทางโรคหัวใจท่านกำเริบ จะพาท่านไปส่งที่โรงพยาบาล ท่านก็ไม่ยอมไปจะต้องไปบ้านอาจารย์หาญให้ได้ ท่านก็ไปอยู่จนเสร็จพิธี จากนั้นก็ไม่ไหวลูกศิษย์ก็พาท่านเข้าโรงพยาบาล  ท่านจะบอกกับลูกศิษย์ว่า “วาจาเราใช้เสกเป่าคาถาให้ศักดิ์สิทธิ เราต้องมีสัจจะ”

    เรื่องที่ ๖

    เมื่อครั้งไปเยี่ยมลูกศิษย์ที่ต่างจังหวัด ได้มีอาจารย์สักเจ้าถิ่นในแถบนั้นทราบเข้าก็เกิดไม่พอใจ คิดว่าจะมาสักทับถิ่น จึงให้ลูกศิษย์ไปเชิญมาเพื่อเจรจา ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ พ่อเที่ยงจึงกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านจับผมได้ ผมจะไปทันที” จากนั้นก็ลุกออกไป โดยที่กลุ่มลูกศิษย์นั้น ไม่มีใครสามารถลุกจากพื้นได้เลย ว่ากันว่าวิชานี้ เสด็จเตี่ย ท่านก็เคยใช้แม้กระทั้งปืนหรือมีดที่พกอยู่ ก็ไม่สามารถดึงหรือชักออกมาได้

    เรื่องที่ ๗

    งานไหว้ครูพ่อเที่ยงสมัยก่อนตอนนั้นมีพระเข้ามาหาท่าน ลูกศิษย์จึงนำน้ำชามาถวาย เมื่อถึงตรงหน้าแล้วพระรูปนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบลง ไปที่แก้วแตกกระจายแล้ว หันหน้ามาทางพ่อเที่ยงพร้อมกล่าวว่า “แบบนี้ท่านทำได้ไหม” พ่อเที่ยงท่านก็เฉยๆ บอกให้ลูกศิษย์มาเก็บกวาดแล้ว ไปนำมาถวายให้ใหม่ เมื่อนำมาถวายแล้ว พระรูปนั้นก็ทำอีกเช่นเดิม และกล่าวว่า “แบบนี้ท่านทำได้รึป่าว” พ่อเที่ยงก็ให้ศิษย์มาเก็บกวาด แล้วให้รินน้ำชามาให้ท่าน จากนั้นพ่อเที่ยงก็นำน้ำชามาถวายพระรูปนั้นเอง และกล่าวว่า “อัปปมาโน ยั้งไว้ซึ่งความประมาท” พระรูปนั้นก็ตบไปที่แก้วอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้แก้วบาดทะลุมือ ร้องโอดโอย ท่านจึงให้ลูกศิษย์มาไปส่งที่โรงพยาบาล….

    ขอบคุณข้อมูลจาก : ศิษย์สายวันสะพานสูง

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : ตำนานวิชาหนุมาน ซึ่งไร้ผู้สืบทอด

  • ตำนานวิชาหนุมาน ซึ่งไร้ผู้สืบทอด

    ตำนานวิชาหนุมาน ซึ่งไร้ผู้สืบทอด

    หากกล่าวถึงความเชื่อในทางไสยศาสตร์ วิชาหนุมานนับเป็นอีกหนึ่งแขนงที่มีผู้สนใจศึกษากันอย่างมาก วันนี้จะขอนำเสนอเรื่องราวของ หลวงพ่อแล ทิตฺตพฺโพ ซึ่งท่านเป็นพระผู้ปฎิบัติผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนชื่นชอบในไสยเวทวิทยาคม ทั้งวิชา สักยันต์ โหราศาสตร์ เสริมดวงชะตา วิชาทำตะกรุด 

    ท่านมีความเชี่ยวชาญในฐานะพระอาจารย์สักยันต์ โดยเฉพาะ “ยันต์หนุมาน” เป็นที่กล่าวขานถึงประสบการณ์ต่างๆมากมาย มีลูกศิษย์ ทั้งทหาร ตำรวจ ดารา คนดัง ในสมัยก่อน..

    หนุมาน


    ชื่อเสียงของหลวงพ่อแล เริ่มโด่งดังเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปมานานนับสิบปี เมื่อท่านได้ลงมือสักยันต์ต่างๆ ทั้ง หนุมาน ลิงลม พญาหงส์ และลงนะหน้าทอง ให้แก่บรรดาลูกศิษย์แล้วบังเกิดอภินิหารทั้งในทาง เมตตามหานิยม โดยเฉพาะทาง อยู่ยงคงกระพัน จนเป็นที่ร่ำลือไกลจนกระทั่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องมาขอร้องให้หลวงพ่อเลิกสักยันต์

    เนื่องจากมีลูกศิษย์บางคน ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น แต่ด้วยความเมตตาประกอบกับคำสั่งขององค์อาจารย์ ทำให้ หลวงพ่อแล ไม่อาจเลิกสักยันต์ด้วยตัวเองได้ แต่ท่านก็เพียรพยายามเน้นย้ำสั่งสอนญาติโยมให้หมั่นทำความดีมีศีลธรรม เพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ปกปักรักษาคุ้มครอง ตัวตลอดไปไม่เสื่อมคลาย..

    หนุมาน
    หนุมาน

    ท่านเคยจำพรรษาอยู่ที่ วัดหนองไม้เหลือง ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่วัดพระทรง เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ ท่านมีคณาจารย์ที่ได้ศึกษาเรียนวิทยาคมไสยเวทต่างถึง ๑๕ ท่าน เฉพาะในเพชรบุรีเพียงจังหวัดเดียวถึง ๖ ท่าน

    ๑. จากหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง อ.เมือง เรียนวิชาถอนแมลงสัตว์กัดต่อยต่างๆ

    ๒. หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง อ.ท่ายาง ร่ำเรียนวิชาสักยันต์ครู ซึ่งเป็นยันต์สูงสุดของการสัก เป็นยันต์แรกที่เรียกว่า “หัวใจพระราม” มีหน้าที่ควบคุมยันต์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นลิงลม, หนุมาน, พญาหงส์เงิน-หงส์ทอง

    ๓. หลวงพ่อชิต วัดมหาธาตุวรวิหาร ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ วิชานี้เชื่อกันว่าทำให้หลวงพ่อแลได้สัมผัสที่ ๖ สามารถทราบเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าได้

    ๔. ศึกษาวิชาพระขรรค์ จากหลวงพ่อโสก วัดปากคลอง อ.บ้านแหลม

    ๕. วิชาตะกรุดโทน ตะกรุดแฝด จากหลวงพ่อผัน วัดมหาธาตุวรวิหาร

    ๖.ได้เรียนสักตัวมหาเมฆจากคุณพ่อต่อ และคุณพ่อจันทร์ ศิษย์พระครูสันต์ แห่งวัดเขาวัง จ.เพชรบุรี พระเถราจารย์สมัยรัชกาลที่ ๕ สำหรับการสักตัวมหาเมฆนี้ในประเทศไทยมีหลวงพ่อแลเพียงรูปเดียวที่สามารถสักได้

    หนุมาน

    ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน ผลักดันชีวิตของท่านให้ต้องเปลี่ยนไป เมื่อครั้งที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่ วัดมหาธาตุ ได้เกิดเหตุร้ายแรงกับครอบครัวและญาติโยมของท่าน เมื่อมีโจรเข้าปล้นเงินทองทำร้ายโยมมารดาและพี่น้องทุกคนเสียชีวิต (โยมบิดาเป็นอัมพาตและได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว) ท่านต้องนำเงินจากการขายทองคำหนัก ๖ บาท ที่พวกโจรรีบร้อนทำตกไว้ เพื่อนำไปจัดงานศพครอบครัว

    จากเหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้ท่านตัดสินใจออกเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่า เพื่อปฏิบัติธรรมและแสวงหาความรู้มาช่วยคนรุ่นหลังที่ต้องถูกทำร้ายโดยไม่มีทางสู้ โดยออกเดินทางจาก จ.เพชรบุรี มุ่งสู่ จ.นครปฐม เรียนวิชาต่างๆจากเกจิอาจารย์อีกหลายท่านคือ

    หนุมาน

    วิชากะลาตาเดียว ราหูอมจันทร์ และวิชาเสริมดวงกับ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง วิชาลงนะหน้าทองกับ หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม วิชาผงยาจินดามณี ที่ทำมาจากเบี้ยแก้ กับ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว

    จากนั้นจึงเดินทางสู่ จ.สมุทรสาคร เรียนวิชาชูชกกับหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน เรียนวิชาตะกรุดไม้ไผ่จากหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ ก่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี เรียนวิชาเบี้ยแก้กับหลวงปู่รอด วัดนายโรง ตลิ่งชัน แล้วมุ่งไปเมืองอยุธยาเรียนวิชาตะกรุดพวงและยันต์หัวใจปลาตะเพียนมหาลาภ จากหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก

    หนุมาน

    ก่อนเดินทางขึ้นเหนือถึง จ.นครสวรรค์ เรียนวิชาศาสตรามีดหมอจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ และสุดท้ายย้อนมาทางภาคตะวันออก ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่อี๋ วัดสัตหีบ อ.สัตหีบ เรียนวิชาคุณปลัดขิก

    หนุมาน

    หลวงพ่อแลมรณะภาพเมื่อ วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๑ ด้วยอาการสงบ รวมสิริอายุ ๙๒ ปี พรรษา ๕๔

    อีกหนึ่งเรื่องเล่าขานของความเชื่อถือส่วนบุคคลเพราะความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์นี้มีนิยมกันแทบทุกที่และก็ยังเป็นที่สรุปพิสูจน์แน่ชัดไม่ได้เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในหลักวิทยาศาสตร์เองก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ก็สุดแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลและคงต้องศึกษาหาทางพิสูจน์กันต่อไป…

    ขอบคุณข้อมูล : naklangbolan

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : cheezebite , ปราสาท “นกหัสดีลิงค์” ความเชื่อของคนโบราณในพิธีศพพระเถระ

  • ประวัติ และสายพันธุ์ไก่ชนไทย มีอะไรบ้าง

    ประวัติ และสายพันธุ์ไก่ชนไทย มีอะไรบ้าง

    ไก่ชนไทย ปรากฏอยู่ในวิถีชิวิตไทยมาเนิ่นนาน มีทั้งที่อยู่ในนิทานและพงศวดาร เช่น นิทานเรื่องนางสิบสอง พระรถเสนมีไก่ชนสองตัวมีความสามารถชนชนะไก่เจ้าเมือง หลักฐานพงศาวดารปรากฎเรื่องราวการชนไก่ของสมเด็จพระนเศวรกับพระมหาอุปราชแห่งหงสาวดีครั้งยังประทับอยู่ในฐานะเชลยศึกที่พม่า

    ซึ่งถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่ทุกครั้งไป เมื่อมีการกล่าวถึงเรื่องราวของไก่ชนไทย ไก่ของพระองค์คือไก่ชนสายพันธุ์ไทยที่เรียกว่า ไก่เหลืองหางขาว หรือไก่พระเจ้าห้าพระองค์

    ไก่ชน

    ตำนานและประวัติไก่ชนไทย

    ตำนานและประวัติไก่ชนกับพระนเรศวรการตีไก่ เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในพม่า โดยเฉพาะในราชสำนักถือกันว่า การตีไก่เป็นกีฬาชาววัง วันหนึ่งได้มีการตีไก่กันขึ้นระหว่างสมเด็จพระนเรศวร มหาราชกับไก่มังชัยสิงห์ ราชนัดดา (ต่อมาได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระมหาอุปราชาในสมัยพระเจ้านันทบุเรง ราชโอรสพระเจ้าบุเรงนอง กำลังกร่ำศึก) มังชัยสิงห์จึงขัดเคืองตรัสประชดประชันหยามหยันออกมา อย่างผู้ถือดีว่า มีอำนาจเหนือกว่า “ไก่เชลยตัวนี้เก่งจริง หนอ” สมเด็จพระนเรศวรสวรจึงตรัสโต้ตอบเป็นเชิงท้าอยู่ในทีว่า ไก่เชลยตัวนี้ อย่าว่าแต่จะตีกันอย่างกีฬาในวังเหมือนอย่าง วันนี้เลย ตีพนันบ้านเมืองกันก็ยังได้มังชัยสิงห์คัดเคืองมาก หากแต่ตระหนักดีว่า สมเด็จพระนเรศวร เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าบุเรงนองจะพาลวิวาทก็ยำเกรงฝีมือพระนเรศวร

    ไก่ชน

    ขณะที่ไก่ของสมเด็จพระนเรศวรกับไก่ของพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี กำลังชนกันอย่างทรหด ต่างตัวต่างเข้าจิก ตีฟาดแข้ง แทงเดือยอย่างไม่ลดละ อย่างคาดไม่ถึง ขณะที่ไก่ฟาดแข้งกันอย่างอุตลุดพัลวัน เมื่อทั้งสองไก่พัวพันกันอยู่พักหนึ่ง ไก่ของพระมหาอุปราชก็มีอันล้มกลิ้งไปต่อหน้าต่อตา ไก่ของพระนเรศวรกระพือปีกอย่าง ทรนงและขันเสียงใส พระมหาอุปราชถึงกับสะอึก สะกดพระทัยไว้ไม่ได้จากตำราเชื่อว่า ไก่ที่พระนเรศวรทรงนำไปชนกับพม่านั้น นำไปจากบ้านกร่าง เดิมเรียกว่าบ้านหัวเท

    ซึ้งอยู่ห่างจากเมืองพิษณุโลก ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 9 กิโลเมตร ขณะที่ชนไก่ พ.ศ. 2121 พระชันษา 23 ปี ลักษณะทั่วไปของไก่ชนพระนเรศวร เป็นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ พันธุ์เหลืองหางขาว ตามตำรากล่าวว่า ไก่เหลืองหางขาว ไก่เจ้าเลี้ยง ในทุกพื้นที่ ที่มีการเล่นไก่ชน ไก่เหลืองหางขาวมักจะเป็นตัวเอกทุกๆ สังเวียนอยู่เสมอ หรือแทบจะเรียกได้ว่าไก่พันธุ์นี้อยู่ในความครอบครองของนักเลงไก่อยู่เสมอ ไก่เหลืองหางขาวจัดว่าเป็นไก่ที่มีสกุลและมีลักษณะเด่นมาก จากประวัติฝีมือความสามารถ ทำให้มีการพูดเสมอในวงพนันว่า ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ หมายความว่า เมื่อนำไก่สีนี้ไปตี สามารถที่จะเชื่อมั่นได้ว่า จะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอนสามารถสั่งเหล้าเงินเชื่อมากินก่อนได้เลย ไก่เหลืองหางขาวที่มีลักษณะตรงตามตำราหน้าหงอนบาง กลางหงอนสูง สร้อยระย้า หน้านกยูง อกชัน หวั้นชิด หงอนบิด ปากร่อง พัดเจ็ด ปีกสิบเอ็ด เกล็ดยี่สิบสอง ถือเป็นไก่ชั้นเยี่ยม….

    ไก่ชน

    ไก่ชนพันธุ์ไทยมีทั้งหมด 10 สายพันธุ์

    • เหลืองหางขาว
    ไก่ชน
    • ประดู่หางดำ
    ไก่ชน
    • เขียวหางดำ
    ไก่ชน
    • เทาหางขาว
    ไก่ชน
    • นกแดงหางแดง
    ไก่ชน
    • ทองแดงหางดำ
    ไก่ชน
    • นกกดหางดำ
    ไก่ชน
    • ลายหางขาว
    ไก่ชน
    • เขียวเลาหางขาว
    ไก่ชน
    • ประดู่เลาหางขาว
    ไก่ชน

    ไก่ชน แต่ละประเภทมีลักษณะเด่น และความงดงามแตกต่างกันไป แต่ชื่อที่คุ้นหูและได้ยินบ่อยที่สุดเห็นจะได้แก่ ไก่ชนไทยพันธุ์เหลืองหางขาว พระเจ้าห้าพระองค์ นอกจากความงดงามแล้ว ผู้เลี้ยงไก่เชื่อกันว่านี่เป็นไก่เจ้า หากมีลักษณะครบตามตำราโบราณนอกจากจะสวยงามแล้ว โบราณเชื่อว่าจะให้โชคกับผู้เลี้ยงผู้ครอบครองอีกด้วย…

    วิธีการดูเเลไก่ชน

    การเลี้ยงไก่ สำหรับชนนั้น มีหลายอย่าง หลายชนิดแล้วแต่ครูบาอาจารย์ใดจะสั่งสอนมา แต่ที่จะนำมากล่าวนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด ระยะการปล้ำและทำตัวไก่หนุ่ม ไก่หนุ่มที่จะเริ่มเลี้ยงครั้งแรก ต้องลงขมิ้นให้ทั่วทั้งตัวเสียก่อน เพื่อสะดวกในการอาบน้ำ และป้องกันไรได้ดีอีกด้วย.

    1. เริ่มอาบน้ำเวลาเช้าทุกวัน ควรใช้ผ้าประคบหน้าทุกครั้งที่มีการอาบน้ำ ลงกระเบื้อง เนื้อตัวบาง ๆ แล้วลงขมิ้นตามเนื้อบาง ๆ แล้วนำไปผึ่งแดด พอรู้ว่าหอบก็นำไก่เข้าร่ม อย่าให้กินน้ำจนกว่าจะหายหอบจึงจะให้กินน้ำได้ไก่ผอมไม่ควรผึ่งแดดให้มาก เพราะจะทำให้ผอมมากไปอีก ถ้าอ้วนเกินไปต้องผึ่งแดดให้มากสักหน่อย เพราะจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ ควรคุมน้ำหนักทุกครั้งที่มีการซ้อม และการเลี้ยงทุกวันตอนเช้า
    2. อาบน้ำประมาณ 7 วัน แล้วจึงเริ่มซ้อมครั้งแรกสัก 2 ยก ๆ ละไม่เกิน 12 นาที ซ้อมสัก 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ซ้อมยกละ 15 นาที รวมแล้วให้ได้ 6 ยก ระยะการปล้ำแต่ละครั้งควรจะมีเวลาห่างกันประมาณ 10 -15 วันพอครบกำหนดแล้วต้องถ่ายยาตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
    ไก่ชน

    วิธีล่อ

    เวลาประมาณบ่าย 2 โมงเย็น เอาน้ำเช็ดตัวไก่ที่เลี้ยงเล็กน้อย แล้วเอาไก่ที่เป็นไก่ล่อ จะเป็นการล่อทางตรงหรือทางอ้อมก็แล้วแต่สะดวก แล้วล่อไก่ให้ย้าย คือเอาไก่ล่อ ๆ วนไปข้างซ้าย 10 รอบ เย้ายวนไปทางขวา 10 รอบ ย้ายจนกว่าไก่ตัวถูกล่อจะไม่ล้มจึงจะใช้ได้ แล้วล่อให้ไก่บินบ้าง ล่อประมาณ 20 – 25 นาทีก็พอ พอเสร็จจากการล่อเอาขนไก่ปั้นคอ พอหายเหนื่อยแล้วอาบน้ำได้ เสร็จแล้วผึ่งแดดให้ขนแห้งแล้วกินอาหารได้

    การใช้ขมิ้น

    ทุกครั้งเวลาอาบน้ำไก่ในตอนเช้า ต้องใช้กระเบื้องอุ่น ๆ ประคบหน้าพอสมควร ถ้ามากนักจะทำให้หน้าเปื่อย แล้วทาขมิ้นบาง ๆ ทุกครั้ง บางคนใช้ทาเฉพาะหน้าอก ขา ใต้ปีก ตามเนื้อเท่านั้น (ใช้ได้เหมือนกัน)

    ไก่ชน

    การปล่อยไก่

    ไก่ที่เลี้ยงไว้ชนพอเวลาแดดอ่อนๆ ควรได้ปล่อยไก่ให้เดินตามสนาม หญ้าแพรกนอกจากจะให้ไก่ได้เดินขยายตัวแล้ว ไก่ยังมีโอกาสได้กินหญ้าไปในตัวด้วย วิธีแก้ไขให้น้ำหนักตัวลด เวลาไก่ชนที่เลี้ยงอ้วนเกินไปน้ำหนักตัวจะมากบินไม่ขึ้น ควรผึ่งแดดให้หอบนาน ๆ หากไก่ผอมมากไปไม่ควรให้ถูกแดดมากเกินไป

    เวลานอนควรให้นอนบนกาบกล้วย หรือเอาน้ำเย็นเช็ดตัวบาง ๆ ก่อนนอน การนอนควรนอนในมุ้งทุกคืนเพื่อมิให้ยุงไปรบกวน ไก่จะได้นอนหลับสบาย การเลี้ยงไก่ถ่าย การเลี้ยงไก่ถ่าย หรือไก่ที่เปลี่ยนขนตั้งแต่หนึ่งครั้งขึ้นไป วิธีเลี้ยงเช่นเดียวกับไก่หนุ่ม ผิดกันตรงที่ไก่ถ่ายต้องปล้ำให้ได้ที่ คือ ปล้ำครั้งละ 2 ยก ยกละ 15 นาที จำนวน 5 ครั้ง รวม 10 ยก หรือปล้ำจนกว่าจะบินไม่ล้ม แล้วผึ่งแดดให้นานกว่าไก่หนุ่มหน่อย นอกนั้นเหมือนกันหมด.

    ยาถ่ายไก่

    ยาถ่ายโบราณคนนิยมใช้กันมากมีส่วนผสมดังนี้

    1. เกลือประมาณ 1 ช้อนคาว
    2. มะขามเปียก 1 หยิบมือ
    3. ไพลประมาณ 5 แว่น
    4. บอระเพ็ดยาวประมาณ 2 นิ้ว หั่นเป็นแว่นบาง ๆ
    5. น้ำตาลปีบประมาณ 1 ช้อนคาว
    6. ใบจากเผาไฟเอาถ่าน (ใช้ใบจากประมาณ 1 กำวงแหวน) ใช้ครกตำให้ละเอียดเข้า ด้วยกัน เวลาใช้ยาควรให้ไก่กินเวลาเช้าท้องว่าง
    ไก่ชน

    ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดหัวแม่มือ 2 เม็ด ให้น้ำกินมาก ๆ หน่อย แล้วครอบผึ่งแดดไว้รอจนกว่ายาจะออกฤทธิ์ ถ่ายเป็นน้ำ 3 ครั้ง ก็พอแล้วเอาข้าวให้กินเพื่อให้ยาหยุดเดิน.

    ยาบำรุงกำลังไก่

    ยาบำรุงที่นิยมกันมากมีหลายขนาน แต่จะยกมาขนานเดียว คือ

    1. ปลาช่อนใหญ่ย่างไฟ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง 1 ตัว
    2. กระชายหัวแก่ ๆ ประมาณ 2 ขีด (แห้ง)
    3. กระเทียมแห้ง 1 ขีด
    4. พริกไทย 20 เม็ด
    5. บอระเพ็ดแห้ง 1 ขีด
    6. นกกระจอก 7 ตัว
    7. หัวแห้วหมู 1 ขีด
    8. ยาดำพอประมาณ
    ไก่ชน

    นกกระจอกนำไปย่างไฟแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปตำให้ป่น ปลาช่อนก็ตำให้ป่น แล้วนำทั้ง 8 อย่างมาผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนเท่าเม็ดพุทราให้กินวันละ1 เม็ดก่อนนอนทุกวันจนกว่าไก่จะชน ยาบางตำราไม่เหมือนกันแต่ได้ผลดีทั้งนั้น แต่ไปแพ้กันตรงที่ไก่เก่งไม่เก่งเท่านั้น ไก่ที่นำไปชนทุกครั้งถ้าไม่ได้ชน กลับมาจะต้องฉะหน้าถอนแข้งทุกครั้ง ๆ ละ 5 นาที 1 ครั้ง ก่อนจะนำไปชนต่ออีก

    วิธีให้น้ำไก่ขณะกำลังชน

    การใช้น้ำไก่เป็นสิ่งจำเป็นในการชนไก่เป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าท่านให้น้ำไก่ไม่เป็น เอาไก่ไปชนโอกาสแพ้มีมาก มือน้ำเท่านั้นเป็นผู้ชี้ชะตาไก่ของท่าน เพราะฉะนั้นท่านต้องเป็นคนให้น้ำไก่เก่งๆ จึงจะสู้เขาได้ วิธีให้น้ำไก่ก่อนชน ท่านต้องใช้ผ้ามุ้งบาง ๆ ชุบน้ำเช็ดตัวให้ทั่วตัวทุกเส้นขน แต่อย่างให้ปีกเปียก (เพราะปีกเป็นอุปกรณ์สำคัญในการต่อสู้) แล้วเช็ดให้แห้ง ให้กินข้าวสุก จนอิ่มแล้วปล่อยให้เดินเพื่อจะได้ขยายตัว และแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนำไก่เข้าชน พอหมดยกที่ 1 เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าอก และใต้ปีกเสียก่อนจึงค่อยเช็ดตามตัวให้ทั่ว แล้วตรวจบาดแผลตามหัว ตามตัวว่ามีผิดปกติหรือเปล่า ตรวจดูตา ตรวจดูปากให้เรียบร้อย ถ้าปากฮ้อ ก็เตรียมผูก ถ้าตาหรี่ก็ควรเสนียดตา หรือถ่างตา เสร็จเรียบร้อยแล้วให้กินข้าวสุกที่บดไว้ ประมาณ 3 – 4 ก้อน แตงกวาแช่น้ำมะพร้าวอ่อน พอให้อิ่มแล้วเอาไก่นอน ๆ ประมาณ 5 นาที หลังจากนอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอากระเบื้องอุ่นมาเช็ดตามตัว ตามหน้าแข้ง ขาให้ทั่วบริเวณที่ถูกตี แล้วปล่อยให้เดิน และให้ไก่ถ่ายออกมาเพื่อจะได้ให้ตัวเบา (ยกต่อไปก็ทำเหมือนยกที่ 1 จนกว่าจะแพ้ ชนะกัน)

    ไก่ชน
    ไก่ชน

    วิธีรักษาพยาบาลหลังจากไก่ชนแล้ว

    ตามปกติไก่ที่ชนมาแล้วจะมีบาดแผลมากน้อยแล้วแต่กำหนดเวลาการ ต่อสู้ บางตัวก็ชนะเร็ว บางตัวก็ชนะช้าบาดแผลก็มีมาก เวลาชนเสร็จแล้วควรใช้เพนนิซิลิน อย่างเป็นหลอดทาตามหน้าให้ทั่ว เพื่อไม่ให้หน้าตึง อย่าใช้ขมิ้นเป็นอันขาด ถ้าบาดแผลมากจริงควรใช้ยาพวกสเตปโตมัยซิน หรือฉีดยาเทอรามัยซิน หรือจะให้กินยาเต็ดตร้าไซคลินก็ได้ วันละ 1 เม็ด ตอนเย็น ประการสำคัญ อย่าให้ทับตัวเมียเป็นอันขาด หลังจาก 1 เดือนไปแล้วให้ทับได้

    ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : thaieditorial

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : cheezebite , เจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ 4 ผู้ที่รำงดงามไม่มีใครสู้

  • สุดยอดไอติมแท่งในตำนาน ยุค 90′ หาทานไม่ได้อีกแล้ว!!

    สุดยอดไอติมแท่งในตำนาน ยุค 90′ หาทานไม่ได้อีกแล้ว!!

    วันนี้ CheezeBite จะพาย้อนกลับไปประมาณปี 2539 (21ปีที่แล้ว) ไปซื้อไอศครีมในยุคนั้นกัน คิดถึงไอศครีมตัวไหน คุณลืมพวกเขาไปแล้วหรือยัง มาค่ะ มาระลึกความหลังกันคะ อยากกินตัวไหน…

    ตือ ดื้อ ดื่อ… ตื้อ ดื้อ ดื่อ (อมแล้วดูด) เสียงคุณลุงเข็นรถไอติมสีแดงเข็นมา และอีกคันสีน้ำเงิน ตามมาติดๆ แต่ทำนองเพลงร้องตามยากๆ หน่อย และอีกคันโผล่มาจากไหนไม่รู้ สั่นกระดิ่งกรุ้งกริ้ง ไม่มีเพลง แต่โลโก้ชนะขาด เพราะมีทั้งแดงทั้งน้ำเงินเลยจร้าาา!!! เรียกจอด แล้วเปิดดูกันว่ามีไอติมอะไรบ้าง ไปค่ะ ไปดูกัน…..

    ตัวแรกขอประเดิมที่ โซโล ขวัญใจเด็กๆ ด้วยราคาสุดน่ารัก 2 บาท กลิ่นโคล่าลอยมาเลยจร้า

    ฟิงเกอร์ ไอศครีมรูปนิ้ว ตัวนี้คิดถึงมาก ๆ ตัวโปรเลย 4 บาทสู้ไหว 555555+ ตัวหลังตรงนิ้วที่ชี้ออกมามีเคลือบด้วยนะ ซัดตรงนี้ก่อนเพื่อนเลย…..

    ยักษ์คู่ ไม่เคยได้กินเป็นคู่ โดนขอแบ่งตลอด มีรสมะนาวด้วยนะ อร่อยม๊าววว

    คาลิปโป ยุคนั้นไม่ค่อยได้ซื้อเลย มันแพงมากกกเลยนะ

    เอเชี่ยนดีไลท์ สำหรับสายผลไม้และสายหวาน

    อพอลโล่ จำได้ที่ปลายมันจะมีเม็ดป๊อปแป๊บ ระเบิดในปาก สะใจดี อิอิ

    อเมริกันสแน็ค ขวัญใจสายช็อค

    สปลิท หวานซ่อนเปรี้ยว

    มินิมมิลค์ อีกหนึ่งขวัญใจเด็กๆในยุคนั้น แพงกว่าโซโล 1 บาท

    แคนดี้คัพ ตัวนี้มีทีเด็ดที่คำสุดท้าย ใครเคยกินคงจำได้ดี

    แฟนตาซี สำหรับสาวกดีสนีย์เลย ชอบอันไหนแนวไหนชี้เอาเลยจร้าาา มีตั้งแต่ 4 บาทจนถึง 10 บาท

    คอมแบทเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย

    มาเป็นเซ็ทเลย YOFRESH 

    เป็นอย่างไรกันบ้าง ดูแล้วคิดถึงสุดๆ ไปเลยล่ะสิ แล้วเพื่อนๆ เคยกินรสไหน หรือมีรสไหนแนะนำบ้างจ๊ะ

    ขอขอบคุณ : Bank Nuttapol #บรรเจิดเริ่ดสะแมนแตน #เพราะความทรงจำมีเรื่องราว #เพจแห่งความทรงจำในวัยเด็ก

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : ราชาผลไม้ ทุเรียน กินให้พอดี ก็มีประโยชน์

  • ยาสั่ง วิทยาศาสตร์ หรือ ไสยศาสตร์

    ยาสั่ง วิทยาศาสตร์ หรือ ไสยศาสตร์

    ยาสั่ง วิทยาศาสตร์ หรือ ไสยศาสตร์

    ยาสั่ง หรือ ที่เรียกกันเต็มๆว่า ยาเบื่อยาสั่ง เป็นวิชาไสยศาสตร์แขนงหนึ่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา  นิยมกันมากในสมัยนั้น จนต้องมีกฏหมายเพื่อควบคุม และมีบทลงโทษกันอย่างจริงจัง

    ยาสั่ง

    ว่ากันว่า ตามจริงแล้วนั้นยาสั่ง มีทั่วไปทุกพื้นที่ ต่างกันเพียงวิธีการ และกรรมวิธีปรุงแต่ง ตามความเชื่อของแต่ละวัฒนธรรม ท้องถิ่น
    นั้นๆ มีกันมากในแถบลุมแม่น้ำโขง อันได้แก่ประเทศ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา และ อินโดนีเซีย

    สำหรับในไทยนั้น ยาสั่ง ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปมี 2 ประเภท คือ

    • 1. ยาสั่งประเภทออกฤทธิ์ในทันที
    • 2.ยาสั่งประเภทอออกฤทธิ์เมื่อรับประทานอาหาร
    1. ยาสั่งประเภทออกฤทธิ์ทันที
      ยาสั่งชนิดนี้เมื่อผู้ใดได้รับแล้วจะตายภายใน ๒-๓ ชั่วโมง หรืออาจจะนานกว่านั้น โดยอาการที่แสดงว่าคุรกำลังโดนยาสั่งชนิดนี้ คือ มีอาการปวดหัว ปวดท้อง ง่วงซึม อาเจียน ขบกราม สลบลงไป และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งลักษณะดังกล่าวที่ว่ามานั้น ยาสั่งชนิดนี้ก็เปรียบเสมือนยาพิษ นั้นเอง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านจะไม่นิยมใช้ยาสั่งประเภทนี้ เนื่องจากเห็นผลเร็วจนเกินไปอาจจะทำให้เป็นที่สงสัยได้ จึงมียาสั่งอีกชนิดนึงขึ้นมานั้นก็คือ ยาสั่งประเภทที่ออกฤทธิ์เมื่อรับประทานอาหาร
    2. ยาสั่งประเภทอออกฤทธิ์เมื่อรับประทานอาหาร
      ยาสั่งชนิดนี้ผู้ที่ถูกฤทธิ์ของยาจะไม่รู้ตัวในทันที เนื่องจากไม่แสดงอาการ แต่จะปรากกอาการก็ต่อเมื่อ สารพิษในยาสั่งนั้นไปทำปฏิกิริยากับอาหาร หรือเครื่องดื่ม โดยจะเป็นอากหารหรือเครื่องดื่มประเภทใดนั้นขึ้นอยู่กับผู้ที่ใส่ยาสั่งนั้นกำหนดไว้  ทำให้ยาสั่งประเภทนี้ถูกใช้กันมาก ถึงแม้จะให้ผลที่ช้า แต่ก็ไม่เป็นที่สงสัย

    “มาถึงจุดนี้แล้วหลายๆท่านอาจจะมองว่าเป็น ไสยศาสตร์ หลายๆท่านก็มองว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาสั่งกันเพิ่มเติม เกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะและส่วนผสมของมัน”

    ยาสั่งมีลักษณะ เป็นผงสีเทา มักประกอบไปด้วย พืชและสัตว์บางชนิด หรืออาจจะใช้ทั้งสองอย่างผสมรวมกัน

    ส่วนผสมจากพืช เช่น ผลของต้นสบู่ดำ / หัวกระเทียมบดใส่ขวดฝังดินไว้และนำส่วนที่เป็นเชื้อรามาใช้ / รากมะละกอ / รากจำปูเม็ดสีแดงเห็ดร่างแห

    ยาสั่งจากพืช

    ส่วนผสมจากสัตว์ เช่น ดีนกยูง / ดีปลาช่อน / ปั๊วแดง / คางคกแดง / จิ้งเหลนแดง / ค้างคาวแดง / หนูหริ่งหรือหนูยวง / หัวงูเหา

    นอกจากส่วนผสมตามธรรมชาติแล้วยังมีส่วนประกอบอื่นๆ เช่น สารเคมีอย่างน้ำกรด ยาฆ่าแมลง หรือ ย่าฆ่าหญ้า

    ยาสั่ง

    ส่วนกรรมวิธีในการทำยาสั่งนั้น คล้ายๆกันกับการสกัดยาแก้พิษเซลุ่มเวลาถูกงูกัด หรือ การรักษาด้วยการใช้สมุนไพร แน่นอนว่า สมุนไพรมีฤทธิ์รักษาโรคได้ฉันใด ก็ย่อมมีสมุนไพรที่เป็นพิษต่อร่างกายเช่นนั้น  แต่ในสมัยอดีตนั้นการปรุงยามักจะปลุกเสกด้วยวิธีตามไสยศาตร์ด้วย ว่ากันว่าหากอยากสั่งยาใส่ใคร ก็ให้นำสารพิษนั้นๆไปให้ สัตว์กิน เมื่อสัตว์ตาย ก็นำร่างมาตากให้แห้ง หรือนำไปย่างให้กรอบ บดเป็นผง และผสมยานั้นกับน้ำ หรืออาหารให้กิน หลังจากนั้นก็จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้เสียชีวิต


    หรืออีกวิธีหนึ่งซึ่งได้เล่าต่อกันมาว่า หากต้องการสั่งให้ผู้นั้นตาย ต่อเมื่อกินเนื้อหมูเข้าไป ก็ทำได้โดยการนำเนื้อหมูไปฝั่งไว้กับผนังของต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นเดือนเป็นปี หลังจากนั้นต้นไม้จะสร้างยางมาห่อหุ่มเนื้อชิ้นนี้ไว้ พอถึงเวลา ให้นำออกมาตากแห้งและบดเป็นผงผสมน้ำหรืออาหารให้ทาน แต่ผู้ที่ถูกยานี้จะไม่ตายในทันที เมื่อรับพิษที่ทำปฏิกิริยากับยางต้นไม้ชนิดนี้แล้ว ผู้ที่ถูกยาสั่งไปกินเนื้อหมูเข้าสารพิษที่เขาไปก่อนหน้านี้ก็จะเริ่มทำปฏิกิริยาสะสม จนกระทั้งเสียชีวิตในที่สุด


    อย่างไรก็ตามการปรารถนาให้ผู้อื่นเสียชีวิต ถือเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและไม่เหมาะไม่ควร ชีวิตใครใครก็รัก แม้จะโกรธเกลียดกันเพียงใดก็ขอให้เป็นเรื่องที่ปล่อยวางใจและอภัยให้แก่กัน เพราะถึงแม้การทำยาสั่งจะส่งผลให้ผู้ที่เราเกลียดนั้นเสียชีวิตลงไปแต่บาปกรรมที่เราก่อนั้นจะตามติดตัวเราไป แลความโกรธแค้นก็จะไม่ได้อยู่ที่เราเพียงคนเดียวจะอยู่กับผู้ตายและติดตามเราไปทั่วทุกที่


    ถึงตรงนี้แล้ว หลายๆท่านอาจจะพอมองออกแล้วว่า ยาสั่งนั้น เป็น ไสยศาสตร์  หรือ วิทยาศาสตร์ ในสมัยก่อนความเชื่อเรื่องเวทมนต์คาถานั้นเป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน หยั่งรากลึกไปถึงจิตใจของคน ดังนั้น หากลองมองย้อนกลับไปดีๆจะเห็นได้ว่า ยาสั่งที่ว่านี้ ก็คือยาพิษ สารเคมี ที่ได้จาก พืช และสัตว์ ที่ทำปฏิกิริยากัน นั้นเอง เมื่อเทียบกับปัจจุบัน ก็เหมือนการสะกัดเอาคุณสมบัติด้านดีมาทำเป็นยา ส่วนในสมัยนั้นก็คือการสกัดเอาส่วนที่เป็นพิษมาทำเป็นยาสั่งนั้นเอง

    ข้อมูลเพิ่มเติม

    ไสยศาตร์ในแถบยุโรปและความเชื่อ 

     

     

     

     

  • ถึงบางอ้อ ! ทำไมการบวชต้อง แห่นาค ที่แท้มันมีความหมายแบบนี้เอง !?

    ถึงบางอ้อ ! ทำไมการบวชต้อง แห่นาค ที่แท้มันมีความหมายแบบนี้เอง !?

    ถึงบางอ้อ ! ทำไมการบวชต้อง แห่นาค ที่แท้มันมีความหมายแบบนี้เอง !?

    งานบวช เป็นประเพณีไทยสืบเนื่องมาแต่โบราณกาล ชายไทยเมื่ออายุครบบวช จะต้องบวชให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสืบทอดอายุพระพุทธสาสนาสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ให้ตนเองและบิดามารดารวมทั้งหมู่ญาติการมีโอกาสได้เป็นนักบวช ดำรงเพศสมณะผุ้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ

    ก็สามารถค้นหาแหล่งความสุขที่แท้จริงศึกษาเรื่องราวความจริงของชีวิตเป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ว่าเกิดมาทำไมตายแล้วไปไหนบาปบุญคุณโทษนรกสวรรค์ภพนี้ภพหน้าและสังสารวัฏ ซึ่งเป็นความรู้ที่มีอยู่แต่ในพระพุทธศาสนาที่ทนทานต่อการพิสูจน์ ช่างภาพงานบวช ถ่ายรูปงานบวช งานบวช

    ผู้ที่มาบวชถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญมาก เพราะเพศสมณะใช่ว่าใครจะมาอยู่ได้ง่ายๆ ต้องสั่มสมบุญกันมาข้ามภพข้ามชาติ เมื่อบารมีมากขึ้นก็มีโอกาสมาบวชในบวรพุทธศาสนาดูอย่างในสมัยพุทธกาลเป็นต้นแบบผู้ที่จะมาบวชไม่ได้ผู้ด้อยโอกาสแต่เป็นผู้ที่มาจากหลากหลายตระกูล ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะเห็นโทษภัยในการครองเรือนในวัฏสงสารจึงมาออกบวชหลายท่านมาจากตระกูลขัตติยะก็มีแพศย์ก็มีศูทรก็มีการที่ตระกูลกษัตริย์พราหมณ์และมหาเศรษฐีต่างเข้ามาบวชก็แสดงว่าการบวชไม่ใช่เรื่องธรรมดา

    ไม่ใช่เรื่องของผู้ด้อยโอกาส แต่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ช่างภาพงานบวช ถ่ายรูปงานบวช งานบวช CheezeBite ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเก็บภาพความทรงจำของการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ด้วยการถ่ายภาพงานบวชบันทึกเรื่องราวด้วยการใช้ภาพงานบวชในการเก็บความทรงจำของครั้งหนึ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ

    • ประโยชน์ของการบรรพชาและอุปสมบท
    1. เป็นการทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน หมายความว่า พุทธศาสนิกชนจะช่วยรักษาพระพุทธศาสนาโดยรักษาพระธรรมวินัยให้เจริญ มั่นคง เพราะว่าพระพุทธศาสนาก็คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ ก็จะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีงาม และสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาพระพุทธศาสนา ก็คือ การบวชเข้าไปเรียนรู้พระธรรมวินัย และรักษาถ่ายทอดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต่อกันไป เรียกว่า สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
    2. เป็นการทำหน้าที่ของคนไทย หมายความว่า พระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในสังคมไทย และได้กลายเป็นมรดกของชนชาติไทย คนไทยได้เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าสูงสุดของประเทศชาติ และสังคมของเราเพราะว่าเมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว ก็ให้หลักธรรมคำสอน ทำให้คนประพฤติดีงามเป็นหลักให้แก่สังคม ทำให้สังคมอยู่กันได้ด้วยสันติสุข มีการเบียดเบียนกันน้อยลง ถ้ามีคนดีมากกว่าคนชั่วสังคมนี้ก็อยู่ได้ พระพุทธศาสนาได้ช่วยให้คนมากมายกลายเป็นคนดีขึ้นมา นอกจากนั้นพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานของวัฒนธรรม ตั้งแต่ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี การศึกษา ดนตรีและศิลปะต่าง ๆ ก็มาจากวัดวาอาราม เป็นต้น
    3. เป็นการสนองพระคุณบิดามารดา ดัง ที่ถือกันเป็นประเพณีว่า ถ้าใครได้บวชลูกแล้ว ก็ได้บุญกุศลมาก ช่วยให้พ่อแม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ ตลอดจนได้เป็นญาติของพระศาสนา แต่ถ้ามองความหมายให้ลึกซึ้งลงไปก็เป็นเรื่องความเป็นจริงของชีวิตจิตใจ กล่าวคือ การบวชเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจของพ่อแม่มีความสุข มีความปลาบปลื้มใจ ด้วยความหวังว่าเมื่อลูกได้เข้าไปอยู่ในวัด ได้ศึกษาอบรมในพระธรรมวินัยแล้ว ต่อไปก็จะเป็นคนดี จะรับผิดชอบชีวิตของตนเองได้ จะรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมได้ แล้วเกิดความมั่นใจ พ่อแม่ก็จะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อลูกบวช ก็เท่ากับจูงพ่อแม่เข้ามาสู่พระศาสนาด้วย มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เรียนรู้ธรรมะ ทำให้ได้ใกล้ชิดพระศาสนา เรียกว่าเป็นญาติของพระศาสนาอย่างแท้จริง
    4. เป็นการฝึกอบรมพัฒนาตนเอง คือการพัฒนาชีวิตทั้งในด้านความประพฤติ คือพฤติกรรมทางกาย วาจา และด้านจิตใจที่มีความดีงาม เข้มแข็ง มั่นคง เป็นสุข และในด้านปัญญาคือความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามความเป็นจริง

    • ขั้นตอนงานบวช
    1. ให้ญาติผู้ใหญ่ตัดผมนาค แล้วนำเศษผมที่ตักใส่ภาชนะที่มีใบบอนรองไว้
    2. พระพี่เลี้ยงโกนผมนาค ให้หมดจรด
    3. กราบมารดา-บิดา ท่านละ 1 ครั้ง (ไม่แบมือ) แล้วรับมอบผ้าไตรจากมารดาบิดาญาติผู้ใหญ่
    4. แห่นาครอบอุโบสถ
    5. โปรยทาน บริเวณหน้า อุโบสถ
    6. คุณพ่อคุณแม่ส่งนาคเข้าพระอุโบสถ
    7. นาคส่งผ้าไตรให้เจ้าหน้าที่แล้วนำดอกไม้ บูชาที่หน้าพระประธาน
    8. รอพระอุปัชฌาย์โดยอาการสงบ
    9. กราบพระอุปัชฌาย์แล้ว หยิบผ้าไตรวางบนแขน เปล่งวาจาขออุปสมบท เอสาหัง พร้อมกัน
    10. กล่าวจบแล้ววางผ้าไตรลงและฟังพระอุปัชฌาย์สอนกัมมัฏฐานแล้วกล่าว เกสา โลมาฯ
    11. พระอุปัชฌาย์สวมผ้าอังสะให้นาค
    12. ออกไปครองผ้าไตรจีวร ด้านหลังพระอุโบสถ (ญาติไปเก็บชุดนาคที่ด้านหลังพระอุโบสถด้วย)
    13. เปล่งวาจาขอสรณะและศีล ๑๐ จากพระอาจารย์
    14. เมื่อรับศีลเสร็จแล้วไปที่ศาลาแดง เพื่อรับประเคนบาตรจากบิดามารดา
    15. คลานเข่าเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ ถวายดอกไม้ธูปเทียนแล้วกล่าวคำขอนิสัย
    16. พระกรรมวาจารย์คล้องบาตร
    17. พระคู่สวดสอบถามอันตรายิกธรรม (คุณสมบัติ)
    18. คลานเข่าเข้ามาท่ามกลางสงฆ์, กราบสงฆ์
    19. เปล่งวาจาขอญัตติกรรม สังฆัม ภันเต
    20. ฟังอนุสาสน์บาลีจากพระอุปัชฌาย์
    21. ถวายเครื่องไทยธรรม กรวดน้ำ เป็นเสร็จพิธี

     

    • แห่นาคทำไม… ทำไมต้องแห่นาค ?

    การแห่นาค เป็นการเตรียมกาย วาจา ใจ ของผู้บวช โดยเดินหมุนขวา 3 รอบโบสถ์ หรือพระเจดีย์ หรือศาลา ที่ทำพิธีขอบรรพชา เพื่อแสดงเคารพในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นการสำรวมจิต ก่อนเข้าไปพบพระพุทธเจ้า (พระพุทธรูปหรือพระประธาน) พระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ เพื่อขอเข้ารับการบวช ยกตนจากผู้ที่เคารพในพระรัตนตรัย เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย จึงมีขอควรปฏิบัติ ดังนี้….

    การแต่งตัวนาค ควรแต่งด้วยชุดขาวทั้งหมด ซึ่งจะบ่งบอกถึงความสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ ของผู้ที่จะบวช การแต่งตัวนาค ไม่ควรมีเครื่องประดับประดามากจนเกินไป

    • โดยขอแนะนำเครื่องแต่งตัวนาคตามประเพณีนิยมดังนี้
    1. เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว
    2. สบงขาว
    3. อังสะขาว
    4. เข็มขัด หรือสายรัดสำหรับรัดสบง ในส่วนเข็มขัดนี้ ใช้สำหรับรัดสบงขาว ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้เข็มขัดนาคในกรณีที่ไม่มีเข็มขัดนาคจะใช้เข็มขัดอย่างอื่นหรือสายรัดแทนก็ได้ ไม่ใช่ข้อกำหนดตายตัว แต่การใช้เข็มขัดนาคเป็นการปฏิบัติตามประเพณีการบวชพระที่นิยม เพื่อให้สอดคล้องกับคำว่า “นาค” ซึ่งเป็นชื่อเรียกผู้ที่จะบวชในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
    5. เสื้อคลุมนาค
    6. สร้อยคอ หากมีสร้อยคอจะสวมให้นาคก็ได้ หรือไม่สวมก็ได้ แต่ไม่ควรคล้องพวงมาลัยให้นาค เพราะจากนาคจะกลายเป็นนักร้องแทน
    • การเดินประทักษิณเวียนขวารอบสีมา การเวียนประทักษิณในทางพระพุทธศาสนา คือ การกระทำที่สุจริตถูกต้องชอบธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ การหมุนไปทางขวา คือการหมุนไปสู่ความดีทั้งทางกาย วาจา และใจ ตรงกันข้ามกับการหมุนไปด้านซ้ายเป็นการหมุนทวนความดี คือ การกระทำที่เป็นทุจริตทางกาย วา และใจ การทำประทักษิณเวียนขวารอบสีมาก่อนเข้าอุโบสถของผู้ที่จะบวชพระนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพตามธรรมเนียมโบราณแล้ว ยังเป็นอุบายที่คนโบราณสอนให้รู้ว่า สิ่งที่จะทำต่อไปนี้เป็นการกระทำที่สุจริตถูกต้องชอบธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
    • นอกจากนั้นการทำประทักษิณก่อนเข้าสู่พิธีอุปสมบท ยังเป็นช่วงเวลาให้นาคได้มีโอกาสทำสมาธิรวบรวมจิตใจไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินเหตุ “ญาติของนาคจึงไม่ควรส่งเสียงหรือโห่ร้อง ร้องรำทำเพลง ประโคมดนตรีอันจะเป็นการรบกวนสมาธิของนาค อีกทั้งไม่ควรให้นาคขี่คอ ขึ้นคานหาม หรือแบกหามซึ่งจะดูไม่เรียบร้อย” หากพลัดตกลงมาอาจเป็นอันตรายจนถึงชีวิตทำให้นาคไม่ได้บวช จึงควรให้นาคเดินตามปกติ โดยให้นาคประณมมือ มีดอกไม้ที่เตรียมไว้อยู่ในมือเดินทำประทักษิณเวียนขวารอบอุโบสถ 3 รอบ จะมีผู้กั้นสัปทนให้นาคก็ได้
    • การทำประทักษิณ ให้เริ่มต้นจากสีมาตรงกลางด้านหน้าอุโบสถ (เริ่มจากสีมาที่จะวันทา) ส่วนญาติๆ ถือบริขารพร้อมทั้งเครื่องไทยทานที่จัดเตรียมไว้ ตามความนิยมโดยทั่วไปบิดาจะสะพายบาตรถือตาลปัตร ส่วนมารดาถือพานแว่นฟ้าสำหรับใส่ผ้าไตรครองเดินตามหลังนาค แถวถัดมาเป็นธูปเทียนแพ เครื่องไทยทานสำหรับพระอุปัชฌาย์และพระคู่สวด และเครื่องบริขารอย่างอื่นโดยลำดับ ในขณะเดินให้นาคสวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ดังนี้ “อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯลฯ”
    • เมื่อเดินครบ 3 รอบแล้ว นาคต้องวันทาสีมาหน้าอุโบสถก่อนเข้าไปในเขตสีมา นาควางดอกไม้เครื่องสักการะไว้บนพานที่เตรียมไว้ บางแห่งให้จุดธูปเทียนด้วย แต่โดยมากนิยมให้ดอกไม้ธูปเทียนไว้บนพานหรืออุปกรณ์อย่างอื่นที่จัดเตรียมไว้ โดยมากไม่จุดธูปเทียน นาคกราบสีมา 3 หน แล้วยืนขึ้นกล่าวคำวันทาสีมา จากนั้นให้นาคนั่งคุกเข่ากราบ 3 หน แล้วเข้าไปภายในอุโบสถ ในขณะเข้าประตูโบสถ์ไม่ควรยกนาคข้ามธรณีประตู หรือยกขึ้นเพื่อเอามือแตะคานประตู ตามที่นิยมปฏิบัติกันโดยขาดความเข้าใจ เพราะอาจพลัดตกลงมาแขนขาหักได้ ให้นาคเดินเข้าอุโบสถตามปกติ โดยบิดามารดาและญาติจะแตะที่ตัวนาคตามเข้าไปก็ได้

    หลังจากนั้นอาจจะมีพิธีเลี้ยงเพล เลี้ยงพระใหม่ ต่อไป…

     

     

     

     

    ขอบคุณ : taxze

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : สรุปดราม่า “ป๊อป ปองกูล” คบซ้อน10 ปี ใครไม่ทันต้องอ่าน

     

     

     

  • วันมาฆบูชา 2562 ประวัติความสำคัญ กิจกรรมวันมาฆบูชา

    วันมาฆบูชา 2562 ประวัติความสำคัญ กิจกรรมวันมาฆบูชา

    วันมาฆบูชา 2562 ประวัติความสำคัญ กิจกรรมวันมาฆบูชา

    วันมาฆบูชา ถือเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา และเป็นวันหยุดของทางราชการและเอกชน ทั่วทั้งปะเทศไทย ทำให้ชาวไทยมีโอกาสได้เข้าวัดทำบุญ และน้อมรำลึกถึงคำสอนสิ่งดีๆของพระพุทธเจ้า ซึ่งการไม่ทำความชั่ว และบำเพ็ญแต่ความดี จะทำให้จิตใจผ่องใส รวมถึงการรู้จักอดทน อดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุทั้งหลาย

    เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า รวมถึงการไม่ทำร้ายผู้อื่น หรือผู้เบียดเบียนคนอื่น การไม่กล่าวร้าย แม้แต่ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร และความเพียรพยายามเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่ที่ทุกคนมักจะจำกันได้มากที่สุด ก็คือ การไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใสนั่นเอง….

    • ความเป็นมาของวันมาฆบูชา

    เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า “วันมาฆบูชา” เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะมีเหตุการณ์พิเศษที่มาบรรจบกัน 4 ประการ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า“จาตุรงคสันนิบาต” อันเป็นประดุจการปฐมนิเทศในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่โลกต้องจารึก เพราะเป็นการประชุมของผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ และเป็นครั้งแรกที่มีการประขุมเพื่อรับฟังทิศทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

    • เหตุอัศจรรย์ในวันมาฆบูชา 4 ประการ
    1. เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือน 3 )
    2. พระภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
    3. ภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ทั้งหมด ไม่มีภิกษุผู้เป็นปุถุชนหรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีแม้สักรูปเดียวมาประชุมในครั้งนี้
    4. พระภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ซึ่งพระบรมศาสดาทรงประทานการบวชให้ 

    • โอวาทปาฏิโมกข์

    โอวาทปาฏิโมกข์ หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓

    ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)

    สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
    สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
    ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
    นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
    สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
    อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
    อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

    แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น  ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์, ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส

    • กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในวันมาฆบูชา

    วันมาฆบูชา ได้ถูกประกาศให้เป็นวันหยุดราชการทั่วประเทศ เพื่อที่จะให้พุทธศาสนิกชน รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนทั่วไป ประกอบพิธีต่าง ๆ เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่ว การบำเพ็ญความดี และการทำจิตใจให้ผ่องใส

    • เข้าวัดในวันมาฆบูชา วันมาฆบูชา พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมทำบุญตักบาตรในตอนเช้า ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา และตลอดวันจะมีการบำเพ็ญบุญกุศลความดี เช่น ไปวัดรับศีล งดเว้นการทำบาปทั้งปวง ถวายสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธูปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
    • กิจกรรมร่วมกับครอบครัว กิจกรรมในวันวันมาฆบูชา ซึ่งหากได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัว สิ่งที่ร่วมกันทำส่วนใหญ่มักจะเป็นการความสะอาดบ้าน จัดแต่งหิ้งพระบูชาประจำบ้าน ชวนครอบครัวไปทำบุญตักบาตร รับศีล ฟังธรรม บำเพ็ญกุศลและปฏิบัติธรรม รวมทั้งควรศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอน และความสำคัญของวันมาฆบูชา และตกเย็นอาจจะชวนกันไปเวียนเทียน
    • กิจกรรมของสถานศึกษา สถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่ง โดยจะมีการจัดบอร์ดของวันมาฆบูชา จัดนิทรรศการให้ความรู้ ประกวดเรียงความ ตอบปัญหาธรรมะ หรือให้นักเรียนร่วมกันทำบุญ ตักบาตร และ เวียนเทียน รวมถึงการบำเพ็ญกุศล อื่นๆ อย่างการเก็บกวาดขยะรอบวัด และอาจมีการประกาศเกียรติคุณให้กับนักเรียนผู้ทำประโยชน์ ซึ่งถือเป็นสิ่งประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี

     

     

    ขอบคุณบทความจาก : myhora

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : ปราสาท “นกหัสดีลิงค์” ความเชื่อของคนโบราณในพิธีศพพระเถระ

  • โรคคุดทะราด คืออะไร

    โรคคุดทะราด คืออะไร

    โรคคุดทะราด คืออะไร

    โรคคุดทะราด คืออะไร โรคคุดทะราด หรือเรียกกันสั้นๆในสมัยนั้นว่าคุดทะราด ชื่อภาษา อังกฤษ คือ Yaws หรือ Frambesia จัดอยู่ในประเภทเป็นโรคติดต่อเรื้อรัง มักพบได้บริเวณผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย โดยลักษณะอาการจะเป็นๆหายๆ สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก แต่ปัจจุบันประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถควบคุมโรคนี้ได้แล้ว

    ประวัติความเป็นมา โดยสังเขป

    โรคคุดทะราด มักพบได้ในประเทศเขตร้อน โดยประเทศไทยได้มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโรคนี้ไว้ในสมัยอยุธยา จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 จากบันทึกพบว่าประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มักป่วยเป็นโรคนี้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ

    สถานการณ์ทั่วโลก : ในปี พ.ศ. 2493 -2513 องค์การอนามัยโลก และ The United Nation’sChildren’s Fund ได้รณรงค์กวาดล้างโรคคุดทะราดโดยการรักษาด้วยยาเพนิซิลลิน ในทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกากลางทวีปอเมริกาใต้ ทวีปเอเชีย และประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก รวม 46 ประเทศ โดยผู้ป่วยมากกว่า 50 ล้านราย ได้รับการรักษาจากการรณรงค์ครั้งนี้ ทำให้ความชุกของโรคคุดทะราดทั่วโลกลดลงอย่างรวดเร็วมากกว่าร้อยละ 95 โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย และประเทศไทย แต่โรคคุดทะราดกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2523 ในแถบเส้นศูนย์สูตรและตะวันตกของทวีปแอฟริกา และพบการติดเชื้อกระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ อยู่ใทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง หมู่เกาะคาริบเบียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ เนื่องจากขาดการสนับสนุนทางทรัพยากรและทางการเมืองในการกวาดล้างโรคคุดทะราดต่อมาได้มีความพยายามในการกวาดล้างโรคอีกครั้งในปี พ.ศ. 2538 ในบางภูมิภาค แต่ยังขาดการประสานงานในระดับนานาชาติอยู่ และในปี พ.ศ. 2549 ประเทศอินเดียก็ประกาศว่า ได้กำจัดโรคคุดทะราดให้หมดไปจากประเทศ

    ในปัจจุบัน ความชุกของโรคคุดทะราดยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากไม่มีการรายงานโรคแบบเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 แต่คาดการณ์ว่า มีผู้ป่วยโรคคุดทะราดรายใหม่ปีละประมาณ 5,000 ราย จากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและติมอร์ตะวันออก ในปี พ.ศ. 2548 มีรายงานผู้ป่วยจากประเทศการ์น่า ประมาณ 26,000 ราย และมีรายงานผู้ป่วยจากประเทศ ปาปัวนิวกินีประมาณ 18,000 รายส่วนจำนวนผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกานั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด

    สถานการณ์โรคในประเทศไทย : มีการรายงานการระบาดของโรคคุดทะราดในหมู่บ้านชนบททางภาคใต้ของประเทศไทย ในปีพ.ศ. 2533 Tharmaphornpilas P. และคณะ ซึ่งพบผู้ป่วยจำนวน 54 ราย อายุตั้งแต่ 2 -79 ปี โดยเป็นผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 15 ปีมากถึงร้อยละ 53.7 ทำให้มีการค้นหากลุ่มนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาของพื้นที่ พบว่า นักเรียน 105 ราย ป่วยเป็นโรคคุดทะราดถึง 34 ราย ทำให้เกิดความตื่นตัวในการเฝ้าระวังควบคุมไม่ให้โรคคุดทะราดกลับมาระบาดอีกครั้งโดยหลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2535 – 2539 พบการรายงานผู้ป่วยโรคคุดทะราดประปรายเป็นบางปี จากทุกภาคของประเทศไทย โดยมีจำนวนผู้ป่วยไม่มากนัก ปัจจุบันไม่มีรายงานผู้ป่วยใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 – 2553

    โรคคุดทะราดเกิดจากอะไร

    โรคคุดทะราด : เกิดจากเชื้อบัคเตรีหรือเชื้อแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า ทรีโพนีมา เพอร์นู Treponema pallidum pertenue และพวกสไปโรซิส มีระยะฟักตัวนานประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือน โดยเชื้อโรคพวกนี้แพร่กระจายได้ง่ายด้วยการสัมผัสและเชื้อมักเข้าสู่ร่างกายทางแผลบริเวณผิวหนัง

    โรคคุดทะราด
    Treponema pallidum pertenue

    ลักษณะอาการของโรค

    อาการของโรคคุดทะราดแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน โดยหลังจากที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลแล้ว ประมาณ 3-6 สัปดาห์จะมีอาการ ดังนี้

    1. ในระยะแรก (mother yaw) บนผิวหนังจะเริ่มเป็นแผลแบบรอยย่นปูด (papilloma) ส่วนใหญ่เกิดบริเวณของใบหน้าและขา รอยโรคเป็นได้นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน มักไม่มีอาการเจ็บนอกจากมีการติดเชื้อแทรกซ้อน รอยโรคจะเพิ่มจำนวนอย่างช้าๆ และอาจทำให้เกิดรอยโรคแบบตุ่มสีม่วงคลํ้าคล้ายผลราสเบอร์รี่ (framboesial หรือ raspberry lesion) หรือตุ่มที่แตกเป็นแผลเปื่อย (ulceropapilloma) (ดังรูปที่ 1)ในระยะที่สอง หรือระยะมีการกระจายของผื่นนูน(papillomata) หรือมีจุดด่างแบบเป็นเกล็ด (ดังรูปที่ 2) ซึ่งอาการนี้จะปรากฏในช่วงระยะเวลาสั้นหลังจากการรักษารอยแผลเบื้องต้น ในฤดูร้อนบ่อยครั้งจะพบเห็นของเหลวในรอยพับของผิวและจุดนูน/ด่างเป็นจุดสนใจ (สำคัญ)รอยโรคเหล่านี้ทำให้เจ็บปวดและมักจะทำให้พิการรอยแผล paillomata และรอยลักษณะหนาคล้ายหนังคางคกบนฝ่ามือและฝ่าเท้าอาจเกิดขึ้นในระยะแรกและระยะสุดท้าย แผลจะหายเองแต่ก็เกิดแผลใหม่ขึ้นอีกในตำแหน่งอื่นได้ในระยะแรกและระยะหลัง ระยะสุดท้ายจะเกิดแผลที่มีการทำลายผิวหนังและกระดูก (ดังรูปที่ 3)ซึ่งเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 10 – 20 ของผู้ป่วยทั้งหมดที่ไม่ได้รับการรักษาหลังจากการติดเชื้อนาน 5 ปี หรือนานกว่า โรคคุดทะราดไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงเสียชีวิตแต่มักทำให้ร่างกายผิดรูปทรงหรือพิการได้

    โรคคุดทะราด

    ระยะที่ 1.มีตุ่มนูนคล้ายหูดที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณใบหน้าและขา โดยตุ่มนี้จะเรียกว่า ตุ่มแม่  รูปที่ 1แผลแบบรอยย่นปูด (papilloma) บริเวณต้นขาด้านบน ในระยะแรกของโรคคุดทะราด ที่เรียกว่า primary framboesioma หรือ mother yawรอยโรคมักเริ่มด้วยเป็นผื่นเล็กๆ ตามขาแล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเป็นตุ่มคล้ายผลราสเบอร์รี่ (Initialpapillomatous yaws lesion on upper thigh also called primary framboesioma, motheryaw. Initial lesion usually commences as papule on lower extremities and slowlyenlarges to form a raspberry-like lesion)

    ระยะที่ 2. เป็นระยะที่มีการกระจายของตุ่มนูน หรือมีลักษณะแผลเป็นจุดด่างแบบเกล็ด ตุ่มจะค่อย ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น มีลักษณะนูนแดง เป็นแผล ลักษณะตุ่มจะใหญ่โตคล้ายดอกกะหล่ำปลี และต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ ๆ แผลอาจจะอักเสบและบวมโต ทำให้เกิดอาการไข้ขึ้นได้ในบางคน แผลอาจเป็นหนอง ตุ่มนูนและผิวหนังหนาขึ้น ลามมาขึ้นที่ฝ่ามือหรือฝ่าเท้า สร้างความเจ็บปวดอย่างมาก จนไม่สามารถเดินหรือทำงานได้ รูปที่ 2 รอยแผล paillomata ลักษณะหนาคล้ายหนังคางคก
    บริเวณขาที่เกิดขึ้นในระยะแรก (Early ulceropapillomatousyaws on the leg)

     

    ระยะที่ 3. ในระยะนี้จะไม่แพร่กระจายเชื้อ แต่แผลกินลึกจะลุกลามเข้าไปถึงกระดูก อาจทำให้กระดูกกุดสั้น คล้ายโรคเรื้อน อย่างไรก็ตามโรคคุดทะราดจะไม่เกิดอาการกับประสาทส่วนกลาง ตา หลอดโลหิต และอวัยวะภายในอื่น ๆ เหมือนเชื้อซิฟิลิส ทั้งนี้ โรคคุดทะราดไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงเสียชีวิต แต่มักทำลายกระดูก ทำให้ร่างกายผิดรูปทรงหรือพิการได้ และแม้ว่าจะรักษาโรคนี้หายแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเรื่อย ๆ รูปที่ 3 รอยโรคที่มีการทำลายกระดูกและกระดูกอ่อนรวมทั้งจมูก (Gangosa)


    การแพร่กระจาย การติดต่อ

    การติดต่อ เชื้อโรคคุดทะราด จะพบอยู่ตามบาดแผลที่ผิวหนัง หรืออยู่ที่เยื่อบุช่องปากและจมูกติดต่อได้โดยการสัมผัสกับน้ำเหลือง น้ำหนองที่บาดแผลคุดทะราดโดยตรง หรือติดจากของใช้ที่แปดเปื้อนเชื้อหรืออาจติดโดยแมลงนำเชื้อโรคมาเข้าสู่ร่างกายทางรอยถลอกหรือบาดแผล ผู้ป่วยที่มีบาดแผลเป็น ๆ หาย ๆ จะแพร่เชื้ออยู่ได้นานหลายปี การป้องกันและควบคุมโรคทำได้โดยให้การศึกษาแก่ประชาชน ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอนามัยส่วนบุคคล มีการเฝ้าระวังโรคอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้การรักษาผู้ป่วยและผู้ที่สัมผัสโรค

    การรักษา

    โดยปกติแล้วโรคคุดทะราดมีโอกาสหายได้เองในระยะแรก ๆ แต่ในกรณีที่โรคลุกลามมาระยะหลังก็สามารถรักษาได้ด้วยยาเพนิซิลลิน (Penicillin) สำหรับผู้ป่วยและผู้สัมผัสอายุ 10 ขวบขึ้นไป โดยฉีดยาเบนซาทีนเพนิซิลลิน จี (Benzathine Penicillin G) ขนาด 1.2 ล้านหน่วยเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว ส่วนในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบให้ใช้ขนาดยาเพียงครึ่งเดียว ทั้งนี้ หากป่วยเป็นคุดทะราด ผู้ป่วยจะต้องรีบรับการรักษาเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ และผู้ดูแลผู้ป่วยจะต้องระมัดระวังในการสัมผัสโรค

    นอกจากนี้ยังนำสมุนไพรอื่น ๆ มาปรุงเป็นยารับประทาน ทั้งข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ เปลือกมะรุม รากตะขบ รากมะดูก กำมะถันเหลือง ผลกระเบา ผลกระเบียง ใบมะเกลือ ใบยาสูบ ขมิ้นอ้อย ตำลึง ฯลฯ


    การป้องกัน

     การควบคุมและป้องกัน โรคคุดทะราดสามารถควบคุมและป้องกัน ได้ดังนี้
    1.  การป้องกันก่อนการเกิดโรค ได้โดย
    1.1  ให้สุขศึกษาแก่ประชาชน ให้ทราบถึงการติดต่อของโรค และการป้องกันโดยการรักษาความสะอาดของร่างกาย
    1.2  หมั่นดูแลรักษาสุขภาพ และไม่ใช้เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มร่วมกับผู้ป่วย
    2.  การควบคุมและป้องกันเมื่อเกิดโรคขึ้น ได้โดย
    2.1  รักษาร่างกายให้สะอาด และทำความสะอาดบาดแผลอย่างดี
    2.2  ทำลายเชื้อโรคโดยต้มภาชนะเครื่องใช้ หรือแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเผาสำลีและผ้าพันแผลที่เปรอะเปื้อนน้ำเลือด น้ำหนอง

    แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะปลอดจากโรคคุดทะราดแล้ว แต่เมื่อได้ชมละครพีเรียดอย่างทองเอก หมอยา ท่าโฉลง ได้หยิบยกเรื่องราวของโรคนี้ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมการรักษาแบบแผนโบราณดั่งเดิม ทางเราจึงได้รวบรวมเรียบเรียงข้อมูลมาให้ทุกท่านได้ทราบกัน โดยเนื้อหาและที่มาทั้งหมดได้มาจาก


    ขอบคุณข้อมูลมากค่ะ 
    https://health.kapook.com/view205983.html
    https://th.wikipedia.org/wiki/โรคคุดทะราด
    http://www.ipesp.ac.th/web/
    http://www.pidst.net/A240.html


    ท่าโฉลงอยู่ที่ไหน

    https://www.facebook.com/cheezebitedotcom/posts/2348498505161781?__xts__[0]=68.ARA23sLCdfrm3YQ6RPjTcFl1stkRWvqJvJPVM0LYFw1n-dghe0l_S6e9Nt4Cq6xbpWJB8NUGaGxA0rkIiUPQARPi5nLbgzbEJF4WOuvt25UmP22C12bf_VvF0eIKIXVVF-LVCSIK1-3n0tnZEJpemcezqWX5S24rOwm5vGzriRqbGo0SO6KokzZFvH1qa8giZrvmCfDXL4iHgfzJ7Ma9fgZNG4G1SB2q5Cn3jNCGmDYiZGJNp6cYGjiZZ7lkqqzs6kiUeJtoWbrQwBicpk1mfnbfFSmvZvACaNZJFsUgsfgFE3yOV-Sx96VWbZgHsNWl32s0B58o5Wy8q2K0NRPRDY7lqw&__tn__=-UC-R

  • ปราสาท “นกหัสดีลิงค์” ความเชื่อของคนโบราณในพิธีศพพระเถระ

    ปราสาท “นกหัสดีลิงค์” ความเชื่อของคนโบราณในพิธีศพพระเถระ

    ปราสาท “นกหัสดีลิงค์” ความเชื่อของคนโบราณในพิธีศพพระเถระ

    ว่ากันว่า นกหัสดีลิงค์ เป็นนกในวรรณคดีไทย ตัวเป็นนก หัวเป็นราชสีห์ มีงวง มีงา มีพละกำลังมากเป็น 5 เท่าของช้าง เนื้อสีแดงเป็นมังสาหารและเป็นพาพนะของผู้มีบุญ ดังนั้นในพิธีงานศพของพระเถระเราจึงเห็นปราสาทบรรจุศพทำเป็นรูปนกหัสดีลิงค์

    ในเรื่อง ตํานานนกหัสดีลิงค์ คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากจะพูดถึงตํานานดังกล่าวอย่างเป็นเอกภาพ เพราะดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนไทย-ลาว สายล้านช้าง ล้านนา เป็นต้น ต่างก็พยายามผูกเรื่องดังกล่าวขึ้นไว้กับชุมชนของตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นการสร้างตํานานนกหัสดีลิงค์ของชุมชน โดยปกติแล้วจะต้องตั้งอยู่บนความเชื่อพื้นฐานของชุมชนนั้นๆ ซึ่งบางครั้งเป็นการยากต่อการหาคําตอบของพฤติกรรมดังกล่าวว่า กระทําขึ้นเพื่ออะไร นอกจากจะหาคําตอบอธิบายกว้างๆ ในลักษณะข้อสังเกตว่า ตํานานนกหัสดีลิงค์นั้นได้ผูกพันกับบรรพบุรุษไทยลาว ไม่ว่าจะเป็นเชียงรุ้ง แสนหวี เป็นต้น

    ประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับนกหัสดีลิงค์

    นกหัสดีลิงค์ เป็นความเชื่อที่ปรากฏตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 10-13 ในแผ่นดินสุวรรณภูมิ โดยสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นจินตนาการของชุมชน โดยอาศัย คัมภีร์จักภวาฤทีปน์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ทางพุทธศานาที่พยายามอธิบายเรื่องราวของโลกและจักรวาล โดยเฉพาะเรื่องป่าหิมพานต์ โดยในป่าดังกล่าวยังได้มีการแบ่งสัตว์ไว้อย่างหลากหลาย เช่น ราชสีห์ เหมราอัศดร มังกรวิหก คชสีห์ สนนร สนรี และนักหัสดีลิงค์ จากบทบาทที่โดดเด่นของวรรณกรรมทางพุทธศาสนา ที่สามารถหล่อหลอมจินตนาการของช่าง ถูกการปรุงแต่งให้เหนือธรรมชาติทั้งรูปลักษณ์และปาฏิหาริย์ เพื่อจะรับความชอบธรรมในบทบาทที่ถูกกําหนดขึ้น เพื่อรับใช้สังคมสืบต่อไป

    นกหัสดีลิงค์ ออกเป็น 2 คํา คือ

    • หัสดี (หรือหัสดิน) มีความหมายว่า ผู้ใช้งวงแทนมือ หรือผู้ใช้มือ
    • ลิงค์ (หรือลึงค์) มีความหมายถึง เครื่องหมายทางเพศชาย

    เมื่อรวมความหมายแล้วหมายถึง นกที่มีหมายเป็นช้างเป็นองค์ประกอบสําคัญ ซึ่งในที่นี้คือนกที่มีหัวเป็นช้าง หรือ นกที่มีงวงที่ปากเป็นงาช้างที่มองเห็นได้ชัดเจน หรือนกผู้มีงวงเป็นช้าง หรือครึ่งนกครึ่งช้าง

    จากความหมายดังกล่าว จึงพอสรุปได้ว่า คติในเรื่องนกหัสดีลิงค์นั้น กรอบความคิดเดิมได้อิงอยู่ในธรรมบทของพุทธศาสนา ที่กล่าวถึงป่าหิมพานต์และกล่าวถึงสัตว์นิทาน และเมื่อคตินิยมกล่าวถึงถอดความหมายมีนัยยะของชุมชนเคลื่อนอยู่ นกดังกล่าวจึงมีลักษณะผิดปกติอย่างสัตว์สามัญเป็นรูป เพราะตัวนั้นเป็นนกที่มีปีกมีหาง แต่ส่วนหัวเป็นช้างมีงวงมีงา

    ตํานานนกหัสดีลิงค์ : ประเพณีความเชื่อเกี่ยวกับการเผาศพ

    ในเรื่องตํานานนกหัสดีลิงค์คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากจะพูดถึงตํานานดังกล่าวอย่างเป็นเอกภาพ เพราะดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนไทย-ลาว สายล้านช้าง ล้านนา เป็นต้น ต่างก็พยายามผูกเรื่องดังกล่าวขึ้นไว้กับชุมชนของตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นการสร้างตํานานนกหัสดีลิงค์ของชุมชน โดยปกติแล้วจะต้องตั้งอยู่บนความเชื่อพื้นฐานของชุมชนนั้นๆ ซึ่งบางครั้งเป็นการยากต่อการหาคําตอบของพฤติกรรมดังกล่าวว่า กระทําขึ้นเพื่ออะไร นอกจากจะหาคําตอบอธิบายกว้างๆ ในลักษณะข้อสังเกตว่า ตํานานนกหัสดีลิงค์นั้นได้ผูกพันกับบรรพบุรุษไทยลาว ไม่ว่าจะเป็นเชียงรุ้ง แสนหวี เป็นต้น

    ปัจจุบันเป็นตํานานที่ปรากฏพอสรุปได้ 3 กระแส คือ

    • ตํานานนกหัสดีลิงค์กระแสที่ 1 กล่าวว่า…… 

    นกหัสดีลิงค์ นั้นจะมีหัวเป็นช้างตัวเป็นนก จะชอบกินช้างหรือสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร เช่น คน เสือ ควาย เป็นต้น ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อนกหัสดีลิงค์ได้จับลูกสาวเจ้าเมืองหลายต่อหลายเมืองมากินเป็นอาหารแล้ว มาหยุดพักที่ ปางทุ่งหลวง เมืองสุวรรณภูมิ เพื่อจะรอจับลูกสาวเจ้าเมืองดังกล่าวกินเป็นอาหาร ครั้นเจ้าเมืองทราบข่าวจึงสืบเสาะหาบุคคลที่มีความสามารถ ที่จะฆ่านกหัสดีลิงค์ จนในที่สุดก็มาถึงเมืองตักศิลาและลูกสาวเจ้าเมืองนั้นชื่อ “เจ้านางสีดา” ซึ่งได้รับมอบคันศรจากพระราชบิดา เพื่อจะนําไปฆ่านกหัสดีลิงค์ และในที่สุดเจ้านางสีดาก็สามารถฆ่านกหัสดีลิงค์ได้

    • ตํานานนกหัสดีลิงค์กระแสที่ 2 กล่าวว่า……

    ในกาลครั้งหนึ่งมีเมืองๆ หนึ่งเกิดอาเพศเพราะมีนกหัสดีลิงค์คอยเฝ้าจับคนเป็นอาหาร ทําให้ผู้คนบาดเจ็บและล้มตายเป็นอันมาก แม้แต่เจ้าเมืองยังทรงสวรรคต พระมเหสีทรงโศกเศร้าเสียใจเป็นอันมาก จึงคิดหาหนทางที่จะแก้แค้นโดยการฆ่านกหัสดีลิงค์ จึงได้ป่าวประกาศหาผู้มีความสามารถมาปราบนกหัสดีลิงค์ได้ จะมีรางวัลสมนาคุณให้อย่างงาม ในที่สุดเจ้าหญิงแห่งเมืองตักศิลาได้อาสาปราบนก และสามารถปราบนกดังกล่าวได้ โดยมีศรเป็นอาวุธ ดังนั้นประเพณีเจ้าเมือง จึงได้ทําพิธีเผานกหัสดีลิงค์พร้อมศพเจ้าเมือง โดยมีการจัดวางหีบศพบนหลังนก และสร้างหอแก้วกั้นหีบศพให้สวยงาม และสิ่งดังกล่าวได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

    • ตํานานนกหัสดีลิงค์กระแสที่ 3 กล่าวว่า……

    มีนครแห่งหนึ่งชื่อ นครเชียงรุ้งตักศิลา เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต พระมเหสีจึงนําพระบรมศพแห่แหนไปถวายพระเพลิงที่นอกเมือง นกหัสดีลิงค์ หรือ นกสักกะไดลิงค์ ซึ่งบินมาจากป่าหิมพานต์มาเห็น จึงได้โฉบลงมาแย่งพระศพ พระมเหสีจึงหาคนมาปราบนกที่แย่งพระศพ ในที่สุดก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งชื่อ “เจ้านางสีดา” มีฝีมือในการยิงธนูเป็นเยี่ยม ได้ใช้ลูกศรยิงนกตกลงมาตาย พระมเหสีจึงให้ประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพร้อมนกใหญ่ จึงกลายเป็นธรรมเนียมตั้งแต่นั้นมา

    ก่อนสร้างนกหัสดีลิงค์ 1 วัน จะต้องมีการบวงสรวงเพื่อเป็นศิริมงคลและการเตรียมการบวงสรวง ยังเป็นการเตรียมขั้นต้นของการเตรียมร่างทรงนางสีดา ที่จะมาฆ่านกหัสดีลิงค์อีกด้วย โดยมีเครื่องบวงสรวง ดังนี้

    • คาย (ค่าครู) เป็นเงิน 11 ฮาง
    • ขันหมากเบ็งซ้ายขวา 2 คู่
    • ขัน 5 ขัน 8 อย่างละ 1 ขัน
    • ขันผ้านุ่งซิ่นและเมรุ 1 ขัน
    • เหล้า 1 ไห (ขวด)
    • หัวหมู 1 ชุด
    • ผ้าขาวยาว 5 ศอก 1 ผืน
    • ไก่ต้ม 1 ตัว
    • ข้าวต้ม ขนมหวาน ขันน้ํา หมาก พลู บุหรี่

    ลักษณะของนกหัสดีลิงค์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าฝีมือเชิงช่างมีความพิถีพิถันสูงมาก เพราะนกหัสดีลิงค์ที่สร้างขึ้นจะไม่ใช้ตะปูเป็นส่วนประกอบ แต่จะใช้วิธีการเข้าลิ่ม และจะใช้หวายมัดแทน และลักษณะอีกประการหนึ่งคือจะต้องสร้างให้นกเหมือนมีชีวิตจริง คือสามารถลืมตา อ้าปาก ส่งเสียงร้อง และสะบัดงวงได้ด้วย

    อ้างอิง

    สุจิตต์ วงษ์เทศ. หลวงพ่อขี้หอม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2544.
    สุวิชช คูณผล. ตําานานนกหัสดีลิงค์และวิธีเผาศพ. ม.ป.ท. : ม.ป.ป.
    อรรถ นันทจักร์. รวมบทความว่าด้วยนกหัสดีลิงค์. มหาสารคาม : ประสานการพิมพ์, 2536.

     

     

     

    ขอบคุณบทความจาก : isangate

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ‘คำพ่อสอน’