คุณยายผู้ต้องการทำสบู่ที่มีคุณภาพใช้เอง เพราะที่บ้านมีแต่คนที่ผิวแพ้ง่าย คำบอกเล่าจากผู้ผลิต ประกอบกับช่วงนั้นลูกสาวยายแหววตั้งครรภ์ ซึ่งมีผดผื่นขึ้นตามประสาคนท้อง คุณยายเลยหาสูตรทำสบู่ให้ลูกสาวใช้เอง เนื่องจากแพ้สบู่ในท้องตลาดทั่วไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพนี้

คุณยายเรียนทำสบู่กับ “บ้านฟองหอม” สอนทำสบู่ handmade วัตถุดิบจากธรรมชาติ จึงทดลองทำใช้เองกับลูกสาว ปรากฏว่าผดผื่นยุบลง เนื้อสบู่อ่อนโยนใช้ได้ทั้งกับใบหน้าและผิวกาย เป็นที่ประทับใจของลูกหลานคนในครอบครัว จึงเป็นที่มาของ สบู่สมุนไพรกลิ่นดอกไม้ บ้านคุณแวว ลพบุรี

คิดค้นหาสูตรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้แก่ สูตรดอกไม้กลิ่นต่างๆ ดอกดาวเรือง สูตรดอกคำฝอย ดอกกล้วยไม้ ชาเขียว สูตรทานาคา เกมส์ยิงปลา เป็นต้น

สูตรดอกดาวเรือง สรรพคุณ บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอย ผลการวิจัยสารสกัดจากดอกดาวเรืองพบว่า มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกรดฟีนอลิกที่สำคัญ มีประโยชน์ช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวพรรณดูอ่อนวัย ทั้งยังป้องกันผิวจากรังสียูวีได้ดีเยี่ยม

สูตรดอกคำฝอย สพรรคุณ น้ำมันจากเมล็ดใช้รักษาโรคผิวหนัง ลดผดพื่น ผิวหนังอักเสบ แพ้ง่าย บรรเทาโรคไขข้ออักเสบ และแก้อาการบวม ฟกช้ำดำเขียว

สูตรดอกกล้วยไม้ ถูกใช้เพื่อดูแลความงามของชาวเอเชียมานาน จากคุณสมบัติในการเยียวยาและการปกป้อง น้ำมันสกัดจากกลีบดอกช่วยบำรุงและให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว อาการผื่นคันมีน้ำเหลือง มีแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเกิดริ้วรอยอีกด้วย

สูตรชาเขียว สรรพคุณใช้เป็นยาพอกรักษาแผลอักเสบ พุพอง ฝีหนอง ไฟไหม บรรเทอาการผดผื่นคัน ผิวแห้ง แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นยากันยุงได้อีกด้วย ชาเขียวช่วยยับยั้งไขข้อรูมาติก ซึ่งมีอาการอักเสบบวมแดง

สูตรทานาคา สรรพคุณ ปรับผิวหมองคล้ำให้ขาวผ่อง เนียน นุ่ม ล้างหน้าไม่แห้งตึง นำมาแต้มหัวสิวช่วยลดการอักเสบ สิวจะยุบและแห้งเร็ว ลดความมัน สิวใหม่ ฝ้า กระ ลดผดผื่นคัน แดง แสบร้อน จากการแพ้เครื่องสำอางค์ จุดด่างดำ จางลง มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึก อ่อนเยาว์ ป้องกันแดดได้ดี เกมส์ยิงปลา เพราะได้รับการผลัดผิวที่เสื่อมสภาพอย่างอ่อนโยน และระงับกลิ่นตามร่างกาย

ทุกสูตรใช้วัตถุดิบอย่างดี จดทะเบียน อย. ปริมาณ 100 กรัม/ ก้อน 150 บาท พร้อมกับตาข่ายตีฟองในกล่องค่ะ

FB: Herbal by Khunwaw
Line ID: wawjan58
โทร. 081-8519563

เบื่ออาหารจังทำไงดี? ส่องสาเหตุของการเบื่ออาหาร พร้อมบอกวิธีแก้ไข

การเบื่ออาหารสามารถเกิดได้กลับทุกเพศ ทุกวัย ทุกคน อาจเป็นเพียงความผิดปกติเล็กน้อยหากเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ พอได้ระยะเวลาหนึ่งก็สามารถกลับมากินอาหารได้ตามปกติ แต่อย่าได้ชะล่าใจไปนะคะ เพราะอาจเป็นการนำไปสู่โรครุรแรงก็ได้ ดังนั้นจึงควรมาใส่ใจ หาสาเหตุและหาวิธีแก้ไขปัญหากันนะคะ

อาการเบื่ออาหารเป็นยังไง

อาการเบื่ออาหารนั้นก็คือ เวลาเราเห็นอาหารอะไรก็ตามตรงหน้าแล้วรู้สึกว่าไม่น่าทานทั้งสิ้น ทานได้น้อยลง ขนาดเจออาหารที่เคยชอบยังกินไม่ได้ น้ำหนักตัวลดลง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่มีอาการเบื่ออาหารมักจะมีอาการผิดปกติอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย เช่น เสียใจมากๆ หรือรู้สึกผิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบรุนแรง เบื่อ และไม่มีแรงจูงใจทำสิ่งที่ชอบ นอนไม่หลับ ท้องผูก คลื่นไส้ หรือ คิดฆ่าตัวตาย

สาเหตุของการเบื่ออาหาร

การเบื่ออาหารนั้นไม่ได้มาจากความเอาแต่ใจของคนเรานะครับ เพราะอย่างบางคนที่เบื่ออาหารนั้นจริงๆ แล้วเป็นเพราะสมองของเค้าทำงานผิดปกติต่างหาก โดยข้างในสมองจะมีศูนย์ควบคุมความอยากอาหาร และความอิ่มอยู่ ซึ่งถ้าสมองส่วนนี้ทำงานผิดปกติ ก็จะทำให้เกิดการเบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไรเลยสักอย่าง นอกจากนี้การเบื่ออาหารยังเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น

1.ชนิดของอาหาร – ถ้าเจออาหารที่ไม่ชอบ สมองก็จะทำงานสั่งให้เบื่ออาหารทันที และไม่อยากทานนั่นเอง

2.ประสาทสัมผัสก็มีส่วนเช่นกัน – ประสาทสัมผัสไม่ว่าจะเป็น การดู การได้กลิ่น การลิ้มรส ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็จะทำให้เบื่ออาหาร และไม่อยากทานได้ เช่น เมื่อเป็นหวัด จมูกไม่ได้กลิ่น และลิ้นเฝื่อน ก็ทำให้เบื่ออาหารและไม่อยากทานอะไร เป็นต้น

3.ความเครียด – นอกจากนี้อาการเบื่ออาหารยังมาจากความเครียด ความวิตกกังวล ความเศร้าที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน เหมือนคำที่บอกว่า “เครียดจนกินอะไรไม่ลง” นั่นเอง

4.โรคกลัวอ้วน – คนที่กลัวอ้วนมากๆ จนวิตกจริต พยายามลดความอ้วนแบบผิดๆ ไม่กินอาหารจนร่างกายพัง จะมีอาการเบื่ออาหารขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะพยายามไม่กินอะไรเลย แม้จะหิวแค่ไหนก็ตาม หรือกินอาหารเข้าไปแต่สุดท้ายก็พยายามล้วงคอออกมาอยู่ดี

ผลกระทบของการเบื่ออาหารจากโรคต่างๆ

นอกจากปัจจัยภายนอกดังกล่าวที่ทำให้เราเบื่ออาหารแล้ว เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บก็ยังสามารถส่งผลให้มนุษย์เราเบื่ออาหารได้อีกเช่นกัน ดังนี้

1.โรคติดเชื้อ – ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง วัณโรค เชื้อรา หรือโรคเอดส์ ล้วนเป็นตัวการที่ทำให้เบื่ออาหารทั้งสิ้น แถมยังทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว

2.มะเร็ง – ไม่แปลกที่เรามักจะเห็นผู้ป่วยโรคมะเร็งมีร่างกายที่ซูบผอม โดยเฉพาะมะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งตับ และมะเร็งเม็ดเลือด เพราะผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหารอย่างหนัก น้ำหนักลดลง และมีอาการซีด อุจจาระดำ ท้องเสีย จนน้ำหนักลดลงอย่างมากนั่นเอง

3.ระบบอาหารผิดปกติ – โรคกระเพาะอาหาร และทางเดินน้ำดี ก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่ทำให้เกิดการเบื่ออาหารได้

4.ผลข้างเคียงของยารักษาโรค – ยารักษาโรคหัวใจ ยาลดความอ้วน และยาแก้ปวดต่างๆ ที่มีส่วนเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ล้วนแล้วแต่สามารถทำให้เบื่ออาหารได้ทั้งนั้นเลยล่ะ

เบื่ออาหารแบบไหนที่ควรปรึกษาแพทย์ให้ไวที่สุด
หลายๆ คนอาจเกิดความสงสัยว่า แล้วการที่เราเบื่ออาหารแบบนี้จะมีผลเสียต่อการใช้ชีวิตรึเปล่า หรือก็แค่ทนๆ ไป ซึ่งตรงนี้ให้ดูก่อนครับว่า อาการเบื่ออาหารของเรานั้นเกิดจากอะไร และเป็นบ่อยแค่ไหน บางคนนานๆ เป็นที บางคนเป็นทุกวัน บางคนเป็นเพราะ เครียด เป็นไข้ หรืออากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้ทั้งสิ้น แต่อาการเบื่ออาหารจะอยู่แค่เพียง 3-4 วันเท่านั้น ซึ่งถ้าใครมีอาการเบื่ออาหารนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ และมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แนะนำให้พบแพทย์เพื่อหาสาเหตุโดยด่วน

แก้ปัญหาเบื่ออาหารอย่างได้ผล ใครเบื่ออาหารบ่อยๆ ต้องรู้

หลังจากรู้ถึงสาเหตุของการเบื่ออาหารกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็มาดูในเรื่องของวิธีแก้ไขกันบ้าง ซึ่งการที่เราเบื่ออาหาร และอยากกลับไปเป็นคนปกติเหมือนคนอื่นที่ใช้ชีวิตและกินอาหารได้อย่างมีความสุขนั้น ช่วงแรกอาจจะต้องฝืนตัวเองกันสักนิด และใช้ความพยายามกันสักหน่อย แต่เชื่อได้เลยครับว่าถ้าทำตามทุกข้อที่กล่าวไป ปัญหาเรื่องเบื่ออาหารจะหมดไปในทันที

1.ทานอาหารให้บ่อยขึ้น – แน่นอนว่าคนที่เบื่ออาหารย่อมไม่มีอารมณ์อยากทานอาหารตรงหน้าแน่ๆ แต่ถ้าเราอยากเอาชนะปัญหาเหล่านี้ ให้เราพยายาม โดยการแบ่งอาหารออกเป็นหลายๆ มื้อ เช่น 6 มื้อเล็กๆ ทานทีละนิดละหน่อย อาจจะไม่ต้องใส่จนเต็มกระเพาะ เอาแค่พอรู้ว่าท้องว่างก็หยิบกิน ก็จะช่วยให้ร่างกายปรับตัว และหิวมากขึ้น อยากทานอาหารมากขึ้นเมื่อไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องนานๆ

2.ทานอาหารที่มีพลังงานสูง – คนที่เบื่ออาหารอาจจะเริ่มต้นกินจากอาหารที่ชอบมากๆ ก่อน เช่น ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต หรือของกินเล่น แล้วค่อยขยับดีกรีขึ้นไปเรื่อยๆ มาสู่อาหารที่ให้พลังงานสูง และมีคุณค่าทางโภชนาการมาก เอาเป็นอาหารที่ทานง่าย แต่ได้ประโยชน์ครบถ้วน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป หรือน้ำผลไม้เป็นต้น

3.ไม่ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ – ของทอด ชา กาแฟ น้ำอัดลม ทุกอย่างที่รู้ว่าจะทำให้ระบบย่อยอาหารในร่างกายทำงานหนัก ให้เลี่ยงเลยครับ เพราะคนที่เบื่ออาหารเมื่อทานของพวกนี้เข้าไป ยิ่งจะทำให้ร่างกายอิ่มไว ทานอาหารที่มีประโยชน์ได้น้อยลง และที่สำคัญควรเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรงไว้ด้วยนะ เพราะอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนจนเป็นลมได้

4.ทานอาหารนอกบ้าน หรือทานกับเพื่อน – การเบื่ออาหารส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนที่ต้องใช้ชีวิตซ้ำๆ ซากๆ อยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้นให้พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น เช่น ออกไปทานอาหารกับเพื่อน หรือซื้อกับข้าวมาทำกินเองที่บ้านกับครอบครัว เพื่อเป็นการกระตุ้นความอยากอาหารนั่นเอง

5.ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ – การเบื่ออาหารนั้นไม่ใช่แค่อาหารอย่างเดียวนะครับ เพราะยังมีเรื่องของน้ำที่ร่างกายขาดไม่ได้อีกด้วย ซึ่งคนที่มีภาวะเบื่ออาหารแบบนี้ก็อาจจะทำให้หลงลืมดื่มน้ำไปด้วย หรือไม่อยากดื่มน้ำนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย ให้พยายามดื่มน้ำให้ได้มากๆ ในระหว่างวัน เพื่อให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ แต่ห้ามดื่มระหว่างทานข้าวนะครับ เพราะอาจทำให้อิ่มเร็วขึ้นกว่าเดิมได้

6.ออกกำลังกายช่วยได้ – การออกกำลังกายเป็นเหมือนยาวิเศษที่ช่วยแก้ไขปัญหาได้สารพัด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเบื่ออาหารเองก็เช่นกัน ซึ่งการออกกำลังกายก่อนมื้ออาหารสัก 1 ชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดความหิว และอยากทานอาหารมากขึ้น

7.ทานอาหารเสริมเจริญอาหาร – เราขอแนะนำตัวช่วยดีๆสำหรับท่านใดที่เบื่ออาหาร กินข้าวได้น้อย กินแปปเดียวอื่ม นั้นก็คือ อาหารเสริมวิตามินเจริญอาหารแบรนด์ Multivitplus อุดมไปด้วยสารสกัดนำเข้าพรีเมี่ยมอุดมไปด้วย วิตามิน ถึง 13 ชนิด มีคุณสมบัติช่วยให้ หิวบ่อย กินข้าวได้เยอะขึ้น กินแล้วอร่อย อาหารเสริมตัวนี้สามารถตอบโจทย์ผู้ที่เบื่ออาหารได้แน่นอน

หลายคนคงมีความรู้สึกเบื่อ ไม่อยากรับประทานอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นครั้งคราวแล้วก็หายไป แต่ถ้าการเบื่ออาหารนั้นเป็นอย่างต่อเนื่อง จนมีผลทำให้ร่างกายผอมโทรม และ ไม่แข็งแรง คุณควรหาวิธีจัดการและจัดสันเวลาให้กับตัวเอง ลองทำตาม 7 วิธีด้านบนดูนะคะ อาการที่เบื่อๆอยู่อาจจะหายไป

เรียบเรียงโดย Dream

แหล่งข้อมูล : http://www.multivitplus.com

https://kaijeaw.com

ในประเทศไทยช่วงหนึ่งได้เริ่มรู้จักกับโรค “ ไบโพล่าร์ ”  หรืออาจจะเรียกเป็นภาษาคนไทยเข้าใจง่าย ๆ คือ “ โรคคนสองบุคลิก ” ที่เมื่อใจดีก็จะใจดีมาก ๆ มีอะไรก็จะให้เค้าหมด แต่เมื่ออารมณ์ร้อนก็จะร้อนที่สุด โมโหหัวร้อนพาลไปทั่ว แต่ถึงผู้ป่วยโรคนี้จะมีจำนวนมากในสังคมไทย แต่อาการป่วยนี้ก็ไม่เป็นกับทุกคนที่มีอาการเหล่าที่ โรคไบโพล่าร์

โรคไบโพล่าร์ อารมณ์ของผู้ป่วยโรคนี้สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายในระยะสั้น ๆ  อาการเหล่านี้ทำให้เป็นเรื่องยากในการวินิจฉัยโรค วันนี้เราเลยได้รวบรวม  8 สัญญาณเตือน  ที่จะทำให้คุณลองสังเกตุตัวเองหรือสังเกตคนรอบข้าง ว่ามีพฤติกรรมหรืออาการแบบนี้หรือป่าว จะได้ง่ายต่อการรักษาและรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

1. มีปัญหาในการทำงานให้สำเร็จ

บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยไบโพล่าร์จะไม่มีปัญหาในการเริ่มต้นทำงานต่างๆ แต่เมื่ออารมณ์ของผู้ป่วยเริ่มเปลี่ยนแปลง การทำงานให้สำเร็จลุล่วงจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นงานต่างๆที่ยังค้างคายาวเป็นหางว่าวคือหนึ่งในสัญญาณที่กำลังบอกว่าคุณอาจจะเป็นโรคไบโพล่าร์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นโรคไบโพล่าร์จะมีอาการนี้เพราะมีหลายคนที่สามารถเรียนรู้วิธีการจัดการตัวเองและพัฒนาให้เป็นคนขยันในขณะที่กำลังเป็นไบโพล่าร์

2. มีอาการต่างๆของโรคซึมเศร้า

ผู้ป่วยจะมีลักษณะเดียวกับคนที่กำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

·       ไม่อยากอาหาร ความอยากอาหารลดลง

·       นอนไม่หลับ หรือ อยากนอนตลอดเวลา

·       สมาธิสั้น

·       ไม่มีเรี่ยวแรง

3. พูดเร็ว

การที่คนส่วนใหญ่พูดเร็วขึ้นเมื่อพวกเขารู้สึกตื่นเต้นถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมากและบางคนพูดเร็วกว่าคนอื่นถึงแม้ว่าสถานการณ์จะปกติ อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งที่การพูดเร็วเป็นสัญญาณหนึ่งของโรคไบไพล่าร์ โชคดีที่มีหลายวิธีที่ใช้ดูว่าลักษณะการพูดเร็วแบบนี้ถือว่าเป็นอาการหนึ่งของโรคไบโพล่าร์หรือไม่

คนที่เป็นไบโพล่าร์จะพูดแทรกคนอื่นและไม่สนใจบทสนทนาของคนรอบข้าง เขามักเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอยู่บ่อยๆ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับคนรอบข้างที่จะเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่ เขาจะพูดแบบนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขากำลังอยู่ช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการฟุ้งพล่าน (Mania Episode)

4. หงุดหงิดง่าย

ผู้ป่วยโรคนี้เค้าจะมีอาการฟุ้งพล่านและซึมพร้อมๆกัน พวกเขาจะหงุดหงิดง่ายมาก ซึ่งอาจจะเกิดจากอาการของโรคไบโพล่าร์หรืออาจจะแค่หงุดหงิดเฉยๆ เท่านั้น แต่ผู้ป่วยจะถึงจุดที่ความหงุดหงิดจะส่งผู้เสียต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ต่าง ๆ กับคนรอบตัว

5. ใช้ยาเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ส่วนมากจะเริ่มต้นใช้ยาเสพติด หรือกินแอลกอฮอล์ หรือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อช่วยคลายอาการซึมเศร้าระหว่างที่อยู่ในช่วงซึมเศร้า พอใช้หรือกินบ่อย ๆ ก็จะเข้าสู่อาการติด ก็จะเป็นอุปสรรคในการรักษาเพราะจะทำประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของยาลดลง

6. อารมณ์ดีมากเกินไป (ไฮเปอร์)

อาจฟังดูแปลกแต่การแสดงออกทางอารมณ์ที่ดีมากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของโรคไบโพล่าร์ได้เช่นกัน แน่นอนว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นสลับกับภาวะซึมเศร้า (Depressive States)  อาการสุดโต่งแบบนี้เรียกว่า Manic Episode แต่ผู้ป่วยไบโพล่าร์หลายคนก็ไม่ได้มีอารมณ์สุดโต่งแบบนี้ ผู้ป่วยเหล่านี้อาจจะแค่รู้สึกค่อนข้างดี (Hypomanic Episode) คล้ายๆกับคนปกติและสามารถใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ส่วนมากผู้ที่เป็นโรคไบโพล่าร์จะประสบกับภาวะทั้ง 2 แบบสลับกันไปคือ บางครั้งจะเป็น Manic Episode และบางครั้งก็จะเป็น Hypomanic Episode

7. นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

คนที่ป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์จะมีปัญหาในการพักผ่อนให้เพียงพอแต่จะไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้า แน่นอนว่าการที่นอนหลับมากเกิ่นไปหรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอก็เป็นที่ไม่สมควรทำเพราะจะทำให้อาการป่วยแย่ลง ดั้งนั้นการพักผ่อนต่อความต้องการของร่างกายจึงมีความสำคัญต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคไบโพล่าร์เป็นอย่างดี

8. มีพฤติกรรมที่สม่ำเสมอ – ไม่คิดหน้าคิดหลัง

เวลาที่ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์อยู่ในช่วงฟุ้งพล่าน เขามักจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากจึงทำให้มักจะแสดงกิริยาโอ้อวด ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยแสดงออกโดยที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่างๆที่จะตามมาในภายหลัง ทำให้ผู้ป่วยทำสิ่งต่างๆที่พวกเขาไม่มีทางทำหากอยู่ในภาวะปกติ บ่อยครั้งที่โรคไบโพล่าร์เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงหรือใช้เงินฟุ้มเฟือยอย่างน่ากลัว และอาจมีการแสดงออกในรูปแบบของพฤติกรรมอื่นๆ

 แต่ที่แน่ๆคนที่ป่วย มันไม่ใช่อารมณ์ร้ายเพียงเพราะไม่ได้ดั่งใจ ไม่ใช่คนนิสัยเอาแต่ใจหรือเห็นแก่ตัว ใส่ใจตัวเองใส่ใจคนรอบข้าง อย่าให้โรคนี้มาอยู่เหนือจิตใจของเราได้ สู้ ๆ นะค่ะ ทุกคน

เรียบเรื่อง : Maybe

แหล่งที่มา :: www.google.co.th

อาหารเหนือ เมนูเด็ดๆ  ลำแต๊แต๊ อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ ที่คุณคุ้นเคย ต้องลองไปทานสักครั้งหนึ่ง

อาหารเหนือ : สวัสดีค่ะ วันนี้มีเมนูเด็ด อาหารของภาคเหนือมานำเสนอ หลายคนก็คงเคยกิน รสชาติของอาหารเหนือจะมีรสชาติกลมกล่อม แถมอร่อยอีก วันนี้เฮาจะพาไปแอ่ว เมืองเหนือ กับอาหาร ลำ ๆ บรรยากาศดีแถมอาหารน่ากินอีกต่างหาก

ว่าแล้ว ถ้าพูดถึงอาหารเหนือหลายคนก็คง พูดถึง แคบหมูกับน้ำพริกหนุ่ม แต่ภาคเหนือ ไม่ได้มีแค่นี้ มีอีกหลายเมนูๆ เสนห์ของอาหารของแต่ล่ะภาคก็แตกต่างกันไป แต่วันนี้ เราจะพาไปดูเมนูเด็ดๆ ของภาคเหนือกัน เลยดีกว่า

ใส้อั่ว

คำว่า อั่ว หมายถึง แทรก หรือยัดไว้ตรงกลาง

ไส้อั่ว จึงหมายถึงไส้ที่มีการนำสิ่งของยัดไว้ การทำไส้อั่ว นิยมใช้ไส้หมูและเนื้อหมู

แกงอังเล

แกงฮังเล มีต้นกำเนิดจากประเทศพม่า โดยคำว่า “ฮิน” ในภาษาพม่าหมายถึง แกง และ “เล” ในภาษาพม่า หมายถึง เนื้อสัตว์ แกงฮังเลได้รับความนิยมจากชาวไทยภาคเหนือและแคว้นสิบสองปันนา

แกงโฮ๊ะ

แกงโฮะ คำว่า “โฮะ” แปลว่า รวม คือการนำเอาอาหารหลายๆ อย่างมารวมกัน

ลาบ(ดิบ)

เป็นการนำเอาเนื้อหมูมาสับให้ละเอียด พร้อมกับเลือดหมู ก้จะได้ลาบเลือด หรอลาบดิบนั้นเอง

แกงผักชะอม

ผักชะอม หรือผักหละ นิยมนำมาแกงกับผักอื่นๆ เช่น แกงหน่อไม้ แกงถั่วฝักยาว แกงแค แกงโฮะ แกงเห็ดหูหนู หรือแกงเฉพาะชะอมอย่างเดียว เรียกแกงผักหละ หรือแกงชะอม แกงผักชะอม หรือแกงผักหละ

แกงผักปั๋ง

น้ำเงี้ยว

น้ำเงี้ยว เป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงราย น้ำเงี้ยวแบบจังหวัดแพร่จะมีสูตรใช้ขาหมูและเอ็นหมู นอกเหนือจากเนื้อหมู สามารถเพิ่มเติมกระดูกไก่และเนื้อไก่ลงไป

ตำขนุน

ตำขนุน หรือ ตำบ่าหนุน เป็นตำรับอาหารที่มีวิธีการปรุง เรียกว่า ตำ คือการนำเอาส่วนผสม คือขนุนอ่อนต้มให้เปื่อย แล้วนำมาโขลกรวมกันเครื่องแกง นำไปผัดกับน้ำมันกระเทียมเจียว ใส่มะเขือเทศ ใส่ใบมะกรูด รับประทานกับกระเทียมเจียว ผักชีต้นหอม และพริกแห้งทอด

จ่อผักกาด

จอผักกาด เป็นตำรับอาหารที่ใช้ผักกาดกวางตุ้งที่กำลังออกดอก หรือเรียกว่า ผักกาดจ้อน หรือผักกาดดอก ซึ่งปรุงด้วย เกลือ กะปิ ปลาร้าหรือกะปิ ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกหรือมะขามสด ใส่กระดูกหมู

แกงเห็ดเผาะ

เห็ดเผาะ หรือชาวล้านนาเรียกว่า เห็ดถอบ  แกงเห็ดเผาะแสนอร่อยกันด้วยเมนูแกงเห็ดเผาะใบมะขามอ่อน สูตรนี้เด็ดตรงใส่น้ำซุปกระดูกหมูเพิ่มความกลมกล่อม ปรุงรสให้เปรี้ยวเผ็ดตามชอบ

ยำหน่อไม้ใส่น้ำปู

ยำหน่อไม้ นิยมใช้หน่อไม้ไล่ ต้มให้สุกจนมีรสหวาน นำมายำกับเครื่องปรุง นิยมใส่น้ำปู ใบขิงหั่น หรือไพล (ปูเลย) ลงไปด้วย โดยต้ม จากนั้นจึงนำมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง

แกงอ่อม

แกงอ่อมหมู นิยมใช้เนื้อหมูและเครื่องในหมูเป็นส่วนผสมหลัก บ้างใช้แต่เครื่องใน เรียก แกงอ่อมเครื่องในหมู มีวิธีการแกงเช่นเดียวกับแกงเนื้อสัตว์อื่นๆ แกงอ่อม ถือเป็นอาหารชั้นดีอย่างหนึ่งของชาวล้านนา

นี้เป็นการยกตัวอย่างมาแค่นี้ ที่จริง มีเยอะแยะมากมาย เป็นไงบ้างค่ะ กับอาหารเหนือเห็นแล้ว หิว อาหารเหนือเลยใช่ไหมค่ะ ถ้าได้ไปแถวๆ ภาคเหนือก็ลองไปทานกันได้นะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง คลิ๊ก 

กินพริก ลดน้ำหนัก ได้อย่างไร ?

สมุนไพรธรรมชาติที่มีรสเผ็ดจัดจ้านอย่างพริก กินเผ็ดลดน้ำหนักได้อย่างไร ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางยาและนำมาปรุงเป็นอาหารไทยได้หลากหลายเมนู ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีสารสกัดจากพริกที่อ้างว่าสามารถลดน้ำหนักได้ จากการกินสารสกัดจากพริก ถูกผลิตออกมาในรูปแบบของอาหารเสริมหลากหลายรูปแบบ มาดูกันว่าพริกจะมีส่วนมาช่วยในด้านใดของร่างกายที่จะทำให้หุ่นผอมสวยเช๊งได้เท่าคำโฆษณา

พริกชนิดต่าง ๆ มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีปลูกกันในหลายประเทศทั่วโลก เพราะพริกเป็นเครื่องเทศที่สำคัญชื่อหนึ่ง และยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรด้วยเช่นกัน มีส่วนช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้ดูดซึมอาหารดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย สำหรับพริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้าของไทย มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 – 90 มิลลิกรัม / 100 g นอกจากนี้พริกยังมีสารเบต้า-แคโรทีนหรือวิตามินเอสูง

ในพริกมีอะไรที่ช่วยลดความอ้วน ?

พริกทุกชนิดจะมีวิตามินซี สามารถช่วยขยายเส้นเลือดในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น และมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย มีวิตามินเอซึ่งช่วยสร้างภูมิต้านทาน ทำให้กระดูกและฟันของแข็งแรง ผิวหน้าและปัญหาจุดด่างดำดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีสาร Capsaicin และ Oleoresin และกรด Ascorbic acid ซึ่งสาร Ascorbic acid นี่เองที่มีบทบาทสำคัญในการลดความอ้วน เพราะว่ามันสามารถช่วยให้ไขมันถูกเผาผลาญกลายเป็นพลังงานได้ดี สาร Capsaicin เป็นสารในพริกที่ให้รสเผ็ดร้อน ดังนั้นจึงมีผู้นำพริก หรือสารสกัดจากพริกมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนัก โดยมักจะกล่าวว่า Capsaicin ในพริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและลดความอยากอาหาร

พริกลดความอ้วนได้อย่างไร ?

เมื่อกินพริกหรือสารสกัดจากพริกไปแล้ว ร่างกายจะได้รับกรด Ascorbic acid ทำให้ร่างกายสามารถนำไขมันไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารน้อยกว่าที่ต้องใช้ในแต่ละวัน โดยมีพริกเป็นตัวเสริมช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ทำให้ลดน้ำหนักได้อย่างธรรมชาติ สรุปคือพริกจะทำให้ร่างกายสร้างกรดไขมันน้อยลง ปรับปรุงเมตาบอลิซึ่มและยังส่งผลให้ระงับความหิวอีกด้วย

กินพริกประมาณเท่าไรถึงจะลดความอ้วนได้ ?

การกินพริกในแต่ละวันจากมื้ออาหารนั้น หากต้องการเห็นผลในการลดความอ้วน คงต้องกินพริกจำนวนมากกว่าจะได้สารสกัดจากพริกในปริมาณที่พอเหมาะ ดังนั้นหากเราต้องการลดความอ้วนด้วยพริกจริงๆ ควรจะทานพริกในรูปแบบของสารสกัดจะดีกว่า  เพื่อที่จะได้ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย

แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีการระบุเป็นรายงานที่รับรองว่า เราต้องกินพริกหรือสารสกัดจากพริกในปริมาณเท่าไรต่อวันถึงจะมีผลต่อการลดความอ้วน แต่เมื่อเรากินพริกในระดับที่พอเหมาะ กระเพาะอาหารและลำไส้จะดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและนานขึ้น ทำให้ปัญหากินมาก กินจุกจิกแล้วอ้วน ลดน้อยลงในที่สุดแต่ก็มีข้อควรระวัง หากเรากินพริกหรือสารสกัดจากพริกในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะเกิดผลเสียทำให้ปวดท้อง หรือท้องเสียได้ และความเผ็ดที่จะมีผลต่อการลดความอ้วนต้องมีปริมาณความเผ็ดเยอะพอสมควร หากไม่เผ็ดจะไม่ช่วยลดความอ้วนเท่าไรนัก

นอกจากพริกแล้วก็ยังมีเครื่องเทศอื่นๆอีกมากมายที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเหมือนพริก เช่น เม็ดมัสตาร์ด ขมิ้น กระวาน ยี่หร่า ขิง อบเชย เป็นต้น ซึ่งช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักด้วยเช่นกัน

ที่มา www.wecandiet.com

https://th.wikipedia.org

อะโวคาโด อาหารสุขภาพ

กล้วย  ก.กล้วย ผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แถมยังบำรุงเส้นผม อีกด้วย ?

กล้วย ผลไม้  อีก 1 ชนิด ที่มี มีสรรพคุณมากมายหลากหลาย อย่าง  เช่น  ผมร่วง ผมบาง ต้องกินกล้วย เพราะอุดมด้วยวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงผมและป้องกันผมร่วงได้ดี ทั้งยังเป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก เป็นต้น

จากนั้นผลงานวิจัย ก็พบว่ากล้วยเป็นอีกหนึ่งผลไม้ไทย  ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ที่ร่างกายควรได้รับ และให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรี่ต่อหน่วยเลยทีเดียวเนื่องจากว่า ในกล้วย นั้นมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด  นอกจากนี้แล้วในกล้วยยังอุดมไปด้วยเส้นใยและกากอาหาร และยังมีวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ของเราอีกด้วย

กล้วยยังสามารถ บำรุงเส้นผม ให้นับว่าเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้กับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย  เรียกว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้นอกจากรับประทานแล้วมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพร่างกาย ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพผมอีกต่างหาก

สูตรหมักผมด้วยกล้วย

กล้วยกับน้ำมะกอก

นำกล้วย1 ลูก นำมาบดให้ละเอียด  จากนั้น ก็ใส่น้ำมันมะกอก 1-2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำมะนาวอีกครึ่งช้อนโต๊ะ ใช้ช้อนคนส่วนผสมให้เข้ากัน นำมาหมักผมที่แห้งให้ทั่ว ทิ้งไว้ 30-45 นาที แล้วค่อยล้างออก และสระผมให้สะอาดตามปกติเพียงเท่านี้ ผมก็จะมีน้ำหนัก ชุ่มชื้น เป็นเงางาม

กล้วยกับน้ำมะพร้าว

นำกล้วยหอมครึ่งลูกถึง 1 ลูก ใส่ลงในถ้วย จากนั้น ก็ให้นำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 2 -3 ช้อนโต๊ะ หรือกะปริมาณให้พอดีกับกล้วยที่ใช้นวด แล้วกวนให้เข้ากันเสร็จแล้วให้ทำการสระผมให้สะอาดก่อน เช็ดผมให้พอหมาดๆนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ เอามานวดให้ทั่วเส้นผม และหนังศีรษะ แล้วให้หมักต่อ ทิ้งเอาไว้อย่างน้อย 30 นาที ค่อยล้างออก แล้วเช็ดผมให้แห้งสนิท

• สูตรการหมักผมแบบนี้ (จะเหมาะกับคนที่ทำสีบ่อยๆ)

จะเหมาะกับคุณสาวๆ ที่มีผมเสีย ที่เกิดมาจากการชอบทำสีผมบ่อยๆ รวมทั้งผมที่ได้รับความร้อน จากการยืด ดัด หนีบเส้นผมเป็นประจำ เพราะจะช่วยในการฟื้นฟูเส้นผม ให้มีความแข็งแรง และมีน้ำหนักมากขึ้น  ว่าไงกันล่ะ ไปทดลองกันด่วนกันเลยจ้า สำหรับสาวๆที่ย้อมสีบ่อย แถมยังได้ผมที่สวยอีกด้วยนะออเจ้า

บทความอื่นๆที่น่าอ่าน