หมวดหมู่: ตำนาน

  • ร่างทรงในตำนานเปิดปริศนา แปะโรงสี!

    ร่างทรงในตำนานเปิดปริศนา แปะโรงสี!

    ร่างทรงในตำนานเปิดปริศนาปึงเถ้ากงถึง อาแปะโรงสี! กับเบื้องหลังที่น้อยคนนักจะรู้

    อาแป๊ะโรงสี! ผู้เขียนยันต์ฟ้าประทาน เป็นหนึ่งในผู้วิเศษชาวจีนที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดท่านหนึ่งในยุคปัจจุบันโดยท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเซียนที่ทำหน้าที่โปรดมนุษย์ในอดีตเจ้าสัวใหญ่ระดับประเทศก็เคยมาขอพึ่งบารมีจนกิจการรุ่งเรืองร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แม้ปัจจุบันนี้ผู้ที่มาพึ่งบารมีท่านก็ยังได้อานิสงค์ถูกหวยบ้าง ได้รับความเจริญทางธุกิจบ้างอย่างน่าอัศจรรย์

     

    ประวัติของแป๊ะโรงสี

    ประวัติค่อนข้างลี้ลับ บางท่านเล่าว่าคราวหนึ่งเกิดพายุมีลมหอบร่างของท่านขึ้นไปบนฟ้าสามวันสามคืนเมื่อถึงเวลากลับลมก็หอบท่านกลับมา เมื่อกลับมาถึงบ้านท่านก็กลายเป็นผู้วิเศษเล่าลือกันว่าเซียนได้บันดาลลมประหลาดนี้มารับตัวท่านเพื่อรับเป็นศิษย์ประสิทธิประสาทวิชาเซียนให้

    เมื่อย้อนดูประวัติตำนานของวัดศาลเจ้า จึงสืบได้ว่า เจ้าที่ผู้ทรงฤทธิ์มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวนั้นไม่ใช่เจ้าที่ชาวจีนแต่เป็นดวงพระวิญญาณของกษัตริย์ทางเหนือหรืออาจเป็นมอญนามว่าเจ้าน้อยมหาพรหม

    เมื่อย้อนดูประวัติตำนานของวัดศาลเจ้าจึงสืบได้ว่า เจ้าที่ผู้ทรงฤทธิ์มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวนั้นไม่ใช่เจ้าที่ชาวจีนแต่เป็นดวงพระวิญญาณของกษัตริย์ทางเหนือหรืออาจเป็นมอญนามว่าเจ้าน้อยมหาพรหม

    เจ้าน้อยมหาพรหมเป็นคนมีวิชาเข้มขลัง โดยเฉพาะการกำราบสัตว์ร้ายให้เชื่อง รวมไปถึงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ สมัยนั้นเจ้าน้อยมหาพรหมลองวิชาอาคมโดยล่องมาตามลำน้ำชนะผู้มีวิชาดีมาหลายต่อหลายท่านทั้งพระและฆราวาส จนมาถึงวัดศาลเจ้า เจ้าน้อยมหาพรหมได้สงเคราะห์ขาวบ้านด้วยการาะกดจรเข้ที่ดุร้ายให้เชื่อง จากนั้นก็แสวงหาคนมีวิชาเพื่อลองของ

    เจ้าน้อยมหาพรหมได้พบกับพระอาจารย์รุเกจิชาวมอญ ปฐมเจ้าอาวาสวัดศาลเจ้าก็ขอลองวิชา พระอาจารย์รุแสดงวิชาหลายอย่างเช่นเสกใบมะขามเป็นตัวต่อตัวแตน ถากขาออกมาเป็นดุ้นฟืน จนเจ้าน้อยมหาพรหมยอมแพ้และนับถือเป็นครูบาอาจารย์

    เจ้าน้อยมหาพรหมไม่กลับขึ้นเหนือไปยังบ้านเมืองของตนแต่ขอฝากตนเป็นศิษย์พระอาจารย์รุจนสิ้นใจ

    เมื่อเจ้าน้อยมหาพรหมสิ้นแล้วพระอาจารย์รุจึงเริ่มสร้างเจว็ดเจ้าที่เป็นรูปกษัตริย์ประทับยืนถือพระขรรค์ ศิลปะเชิงช่างแบบมอญ นี่คือจุดกำเนิดเริ่มแรกของศาลศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดศาลเจ้า ปทุมธานีที่คนในปัจจุบันอาจหลงลืมตำนานนี้กันไปแล้ว

    ต่อมาเมื่อชาวจีนมามากขึ้นก็ทะนุบำรุงศาลปรับปรุงศาลด้วยศิลปะแบบจีนและรู้จักเจ้าที่ในนามปึงเถ้ากง ส่วนนามของเจ้าน้อยมหาพรหมก็เริ่มเลือนลงไป

    แป๊ะโรงสีสามารถ สื่อสัมผัสกับเจ้าน้อยมหาพรหมในนามปึงเถ้ากงของคนจีนและได้แสดงบุญญานุภาพแห่งเจ้าน้อยมหาพรหมโปรดผู้คนทั้งหลายทั้งรักษาโรค ไล่ผีปลดหนี้บันดาลโชคลาภ ทำให้กิจการเจริญรุ่งเรืองสืบมา

    ยันต์ฟ้าประทานพร

    ยันต์ฟ้าประทานพร เป็นยันต์ประจำตัวของท่านอาจารย์ กล่าวกันว่าผู้ใดพกพาหรือติดตั้งอยู่ในสถานที่ใดจะพบแต่ความเจริญรุ่งเรือง นำพาโชคลาภเงินทอง รวมถึงสามารถใช้แก้ฮวงจุ้ยเสริมดวง นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อทางด้านกันไฟและสิ่งไม่ดีทุกชนิด

    ความหมายของผ้ายันต์อาแปะโรงสี

    • กา พกพาติดตัวปรับฮวงจุ้ยชีวิต บุกเบิกฟันฝ่า สร้างเนื้อสร้างตัว ก่อรากฐานชีวิต เอาติดที่ประตูบ้าน 2 ข้างแบบกุ้ยนั่ง รับแรงประทะ โดยมีกาใหญ่ ๆ เป็นประธานในบ้าน เช่น 5 6 7 8 9 10 15 18 ในบ้านเสริมพลังให้ตัวบ้าน
    • กา ร้านเสริมสวย เหมือน ๖ กา เป็นเสน่ห์ ธาตุน้ำ ความสวยงาม
    • กา ใช่ประกอบกับ 8 กาสำหรับที่ที่มีอาถรรพน์เยอะ เป็นการต่อสู้ข่มวิญญาณ เจ้าที่เจ้าทาง
    • กา สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร รีสอร์ท บริษัทนำเที่ยว ประกอบกับ 9 กา ยอดเยี่ยมครับ เป็นเรื่องการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ โรงแรมก็ใช้ได้
    • กา สำนักติว ติวเตอร์ โรงเรียนเอกชนที่ก่อตั้งใหม่ ๆ ยังไม่ดัง ชื่อยังไม่ติดชาร์ต ร้านขายสังฆภัณฑ์ ร้านขายหนังสือ เครื่องเขียน
    • กา เหมือน 2 กา โรงแรม อาบอบนวด สถานบันเทิงเริงรมย์ ร้านเสริมสวย ร้านขายของสวย ๆ งาม กิฟต์ชอป ร้านขายดอกไม้ จัดดอกไม้
    • กา สำหรับฟื้นฟูกิจการ. คลีนิค ร้านทำฟัน ขายอุปกรณ์การแพทย์ วัสดุก่อสร้าง บ.ก่อสร้างทาง
    • กา ร้านเหล้า ร้านอาหาร สำหรับนายทหาร นายตำรวจ ข้าราชการตั้งไว้ในห้องทำงานหลังโต๊ะบนหัวเก้าอี้ที่เรานั่ง มีบารมีลูกน้องเกรงขาม หัวหน้า ผู้จัดการ ดีมาก เคล็ดลับอย่าไปบอกใครมาก
    • กา ขายเครื่องสังฆทาน มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า …
    • กาและ18กา เสริมพลังให้บ้าน เป็นการเสริมเติมเต็ม full ภาษาบาลีว่า ปุรณ แปลเป็นไทยว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ใช้ติดเป็นปรธานในบ้าน ๆ นั่นจะบริบูรณ์มั่งคั่ง ทรัพย์สินเรืองรอง เงินทองเนืองนองไหลมาไม่ขาดสายดุจสายน้ำในแม่น้ำลำธารที่ไม่มีวันเหือดแห้ง สุขภาพแข็งแรง ภูติผีปีศาจสิ่งอาถรรพน์ไม่มากร้ำกราย โรคภัยไม่เบียดเบียน สมบูรณ์มั่งคั่งดังคำประกาศิตว่าฟ้าประทานพร การบูชาผ้ายันต์อาแปะโรงสี 1.ก่อนแขวนบูชาจุดธูปบอกเจ้าที่เพื่อจะขอแขวนผ้ายันต์ 2.นำผ้ายันต์แขวนบนผนัง โดยให้ผ้ายันต์หันออกหน้าร้าน 3.เอากิมฮวย 1 คู่ ติดตรงกลางด่านล่างของรูปและปักธูปไม่จุด 5 ดอก และ แขวนพวงมาลัยพลาสติก 1 พวง บนกรอบด้านบน เป็นอันเสร็จพิธี สามารถถวายพวงมาลัยสดเพิ่มได้.ทั้งนี้กิมฮวยธูป 5 ดอก และพวงมาลัยพลาสติกควรเปลี่ยนปีละ 1 ครั้ง ..(การไหว้) 1.ส้ม 5 ลูก 2.น้ำชา 5 ถ้วย 3.ขนมแต้เหลียว 1 จาน 4.กิมฮวย 1 คู่ 5.ธูป 5 ดอก 6.พวงมาลัยพลาสติก 1 คู่ 7.ไหว้วันชิวโหงว วันที่ห้า ของวันตรุษจีน วันที่เจ้ากลับลงมาจากสวรรค์ คำอธิฐานขอพรอาแปะโง้วกิมโคย (เซียนแปะสามตา)เทียน กัว สื่อ ฮก โหงว ลี่ ขอให้ฟ้าประทานพร โชคลาภ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว

     

     

     

    ขอบคุณข้อมูลจาก : samakomphra

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : อาถรรพ์หม้อดินเผา ของโบราณยากนักที่จะลืม

  • วันพับกระดาษโลก World Origami Day

    วันพับกระดาษโลก World Origami Day

    วันพับกระดาษโลก World Origami Day

    วันพับกระดาษโลก วันที่ 11 พฤศจิกายนของทุกปี ทั่วโลกต่างรู้จักในชื่อของวันพับกระดาษโลก หรือ World Origami Dayจุดเริ่มต้นของวันนี้ มาจากเรื่องราวของ ซาดาโกะ เด็กหญิงชาวญี่ปุ่นวัย 2 ขวบ ที่เติบโตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเมืองฮิโรชิมา ของญี่ปุ่น ในปี 1945 และเมื่ออายุได้ 12 ปี เธอกลับตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ซึ่งเป็นผลจากรังสีของนิวเคลียร์ (ในช่วงเวลานั้นเรียกโรคนี้ว่า A-bomb disease)

    ซาดาโกะ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายเดือน แต่หลังจากได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานของการพับนกกระเรียนว่า หากพับได้ครบ 1,000 ตัว จะสามารถขอพรใด ๆ ก็ได้ ซาดาโกะพับนกกระเรียนไปได้เพียง 644 ตัวเท่านั้น ก็เสียชีวิต ก่อนที่เพื่อน ๆ จะช่วยกันพับจนครบในงานศพของเธอ

    ทางการญี่ปุ่นได้สร้างอนุสาวรีย์ของซาดาโกะ ไว้ในที่เมืองฮิโรชิมา หรือที่รู้จักกันในชื่อ Children’s Peace Monument โดยมีการจารึกถ้อยคำที่ฐานของอนุสาวรีย์ว่า “This is our cry. This is our prayer. Peace in World” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงภัยที่เกิดจากความรุนแรงของสงคราม และการพับนกกระเรียนก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพมาจนถึงทุกวันนี้ แต่แท้ที่จริงแล้ว การพับกระดาษหรือที่เรียกกันว่าโอริกามินั้นเดิมทีไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น

    แต่ในยุคญี่ปุ่นโบราณนั้น โอริกามินั้นใช้วิธีการตัดแทน ซึ่งมีอ้างอิงในกวีจากปี 1680 และหลังจากนั้น 100 ปีผ่านมาในยุโรป ได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งชื่อว่า Friedrich Fröbel ได้สอนเด็กๆอนุบาลเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้วิธีการพับกระดาษ ซึ่งระบบนี้ก็ได้ถูกนำเขาสู่ประเทศญี่ปุ่นหลังจากปี 1860 แล้วก็พัฒนามาเป็นโอริกามิในปัจจุบัน

     

    ในตอนเด็กๆเราก็เคยเล่นพับกระดาษกันใช่ไหมค่ะ ส่วนมากเราก็พับเป็นรูปหัวใจ จรวด รถแข่งอะไรทำนองนี้ แต่วันนี้จะพาทุกคนไปชมงานศิลปะจากการพับกระดาษสุดเจ๋งกันค่ะ แต่ละอันรายละเอียดเยอะมาก ไปดูกันเลย…..

    ยังไงก็อย่าลืมหากระดาษมาลองพับเล่นกันดูนะคะ ยิ่งถ้ามาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเนี่ยมีกระดาษลายสวยๆสำหรับโอริกามิให้เลือกซื้อเพียบเลย… แล้วเจอกันใหม่นะค่ะ บายยยย……

     

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : เจาะตำนาน “ขายหัวเราะ” อยู่อย่างไรในยุคดิจิทัล

     

  • สืบสานประเพณีออกพรรษา ตักบาตรเทโวโรหณะ

    สืบสานประเพณีออกพรรษา ตักบาตรเทโวโรหณะ

    สืบสานประเพณีตักบาตร เทโวโรหณะ หลังวันออกพรรษา

    เทโวโรหณะ แปลว่าการลงจากเทวโลก ในพรรษาที่ 7 นับแต่วันตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเทศน์โปรดพระพุทธมารดา ที่ได้กำเนิดเป็นเทพบุตรอยู่ในชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่ 4 โดยลงมาฟังธรรมที่ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่ 2 จนบรรลุโสดาปัตติผล สาเหตุที่พระศาสดาไม่เสด็จไปแสดงธรรมในชั้นดุสิต เพราะเทวดาที่อยู่ในชั้นดาวดึงส์ไม่สามารถขึ้นไปในชั้นดุสิตได้ ด้วยศักดานุภาพที่น้อยกว่า เพื่อให้โอกาสฟังธรรมแก่เทวดาเหล่านั้น
    ครั้นถึงวันมหาปวารณา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 จึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสนคร  ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก
     เมื่อทรงแลดูข้างล่าง สถานที่นั้นก็มีเนินอันเดียวกันจนถึงอเวจีมหานรก ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียง จักรวาลหลายแสนก็มีเนินเป็นอันเดียวกัน เทวดาก็เห็นพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็เห็นเทวดา สัตว์นรกก็เห็นมนุษย์และเทวดา ต่างก็เห็นกันเฉพาะหน้าทีเดียว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี ขณะที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    รุ่งขึ้นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการใหญ่ เพราะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้ามาถึง 3 เดือน การทำบุญตักบาตรในวันนั้น  เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นจึงนิยม ตักบาตรเทโว กันจนเป็นประเพณีสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้
    การเสด็จลงจากเทวโลก ของพระพุทธเจ้า เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า คือในพรรษาที่ 7 ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนเทวโลกคือบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ครั้นถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากเทวโลกในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตำนานเล่าว่า พระอินทร์ ทรงนิมิตบันได 3 อย่างถวาย คือ บันไดทอง บันไดแก้วมณี บันไดเงิน หัวบันไดพาดอยู่ที่ยอดเขาสิเนรุ เชิงบันไดอยู่ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร เวลาเสด็จลงทรงใช้บันไดแก้วมณี เหล่าเทวดาลงทางบันไดทอง เหล่ามหาพรหมลงทางบันไดเงิน เรียกการเสด็จครั้งนั้นว่า เทโวโรหณะ
    • ประเพณีตักบาตรเทโว “มหัศจรรย์ข้าวต้มลูกโยนแห่งสระบุรี”

    ในปัจจุบัน  การตักบาตรด้วย “ข้าวต้มลูกโยน” นับวันจะเลือนหายไป  ดังนั้นจึงควรจะมีการอนุรักษ์  ฟื้นฟู  และส่งเสริมประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามเช่นนี้ให้อยู่คู่จังหวัดสระบุรีต่อไป  และประเพณีดังกล่าวยังจัดรวมอยู่ในปฏิทินปีท่องเที่ยวจังหวัดสระบุรี  โดยในปีนี้ทางจังหวัดสระบุรีได้กำหนดให้มีการจัดงานประเพณี “มหัศจรรย์ข้าวต้มลูกโยนแห่งสระบุรี” ขึ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป ณ วัดพระพุทธฉาย อ.เมือง จ.สระบุรี

    ตักบาตรเทโวโรหณะ

    • ประเพณีตักบาตรเทโว  จังหวัดอุทัยธานี

    ขึ้นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑  ถึงกำหนดเวียนมาบรรจบ ณ วัดสังกัตรัตนคีรี พระสงฆ์หลายร้อยรูปเดินลงจากยอดเขา  ผ่านบันได ๔๔๙ ขั้นสู่เบื้องล่าง  ที่ยังเนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนเรือนหมื่น  ที่ยังคงยึดมั่นในวิถีปฏิบัติดั้งเดิม  อันสะท้อนภาพแรงศรัทธาที่สุกสว่าง  ภายในจิตใจของทุกคน

    พระสงฆ์หลายร้อยรูปพร้อมเพรียงเดินลงจากยอดเขาสะแกกรัง 449 ชั้น เป็นสายยาวท่ามกลางฉากหลังคือบันไดที่อยู่ระหว่างกลางภูเขา  ตัดกับขอบฟ้าสีคราม  ดูเสมือนหนึ่งพระสงฆ์กำลังลงมาจากยอดเขาดาวดึงส์  ผู้คนเบื้องล่างตระเตรียมข้าวสารอาหารแห้งมารอใส่บาตรพระสงฆ์  จนเป็นภาพที่จดจำ  ทั้งยังช่วยสร้างศรัทธาและสืบสานให้พระพุทธศาสนาคงอยู่สืบไป

    • ตักบาตรเทโว ที่บ้านวังแดง อุตรดิตถ์
    ที่บ้านวังแดง จังหวัดอุตรดิตถ์ ดูแล้วเป็นประเพณีงานตักบาตรที่คึกคักที่สุดในจังหวัดอุตรดิตถ์
    เป็นยังไงกันบ้างละค่ะ กับบรรยากาศ ความสนุกสนานกับประเพณีตักบาตรเวโท ของแต่ละจังหวัด นี้เป็นแค่บางส่วน ยังมีอีกหลายจังหวัดที่จัดงาน พี่น้องชาวไทยอย่าลืมไปเที่ยวชมงานและร่วมสืบสารประเพณีของไทยกันนะค่ะ ทาง CheezeBite ต้องของลาไปก่อน เอาไว้พบกันใหม่ กับเทศกาลหน้านะจ๊ะ บายยยย…..!!
  • สารทเดือนสิบ (ชิงเปรต) ประเพณีแห่งความกตัญญูกตเวที

    สารทเดือนสิบ (ชิงเปรต) ประเพณีแห่งความกตัญญูกตเวที

    สารทเดือนสิบ ประเพณีแห่งความกตัญญูกตเวที

    สารทเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของคน ภาคใต้ ของประเทศไทย โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราชที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อ ซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์ โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพชนและญาติที่ล่วงลับ ซึ่งเชื่อว่าได้รับการปล่อยตัวมาจากภูมินรกที่ตนต้องจองจำอยู่เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยก่อไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

    โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากภูมินรกในทุกวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์ โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้องที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังภูมินรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10

    ความมุ่งหมายของประเพณีสารทเดือนสิบ

    ประเพณีสารทเดือนสิบ มีความมุ่งหมายสำคัญอยู่ที่ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ กับ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้อง ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ด้วยเหตุที่วิถีชีวิตของชาวนครศรีธรรมราช เป็นวิถีชีวิตแห่งพระพุทธศาสนา ในสังคมเกษตรกรรม จึงมีความมุ่งหมายอื่นร่วมอยู่ด้วย

    1. เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้กับ พ่อ แม่ ปู่า ตา ยาย ญาติพี่น้อง หรือบุคคลอื่นผู้ล่วงลับไปแล้ว
    2. เป็นการทำบุญ ด้วยการเอาผลผลิตทางการเกษตร แปรรูปเป็นอาหารถวายพระสงฆ์ รวมถึง การจัดหฺมรับ ถวายพระ ในลักษณะของ “สลากภัต” นอกจากนี้ ยังถวายพระ ในรูปของผลผลิตที่ยังไม่แปรสภาพ เพื่อเป็นเสบียงแก่พระสงฆ์ ในช่วงเข้าพรรษาในฤดูฝน ทั้งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคล แก่ตนเอง ครอบครัว และเพื่อผลในการประกอบอาชีต่อไป
    3. เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความสนุกสนานรื่นเริงประจำปี เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกประเพณี ของชาวนคร แต่ประเพณีนี้มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกๆ ปี เรียกว่า “งานเดือนสิบ” ซึ่งงานเดือนสิบนี้ ได้จัดควบคู่กับประเพณีสารทเดือนสิบ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2466 จนถึงปัจจุบัน

    ประเพณีปฏิบัติ

    ก่อนวันงาน ชาวบ้านจะทำขนมที่เรียกว่า กระยาสารท และขนมอื่นๆ แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น ในวันงานชาวบ้านจัดแจงนำข้าวปลาอาหารและข้าวกระยาสารทไปทำบุญตักบาตรที่วัดประจำหมู่บ้าน ทายก ทายิกาไปถือศีล เข้าวัด ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล นำข้าวกระยาสารท หรือขนมอื่น ไปฝากซึ่งกันและกัน ยังบ้านใกล้เรือนเคียง หรือหมู่ญาติมิตรที่อยู่บ้านไกล หรือถามข่าวคราวเยี่ยมเยือนกัน บางท้องถิ่นทำขนม สำหรับบูชา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม่พระโพสพ ผีนา ผีไร่ด้วย เมื่อถวายพระสงฆ์เสร็จแล้ว ก็นำไปบูชาตามไร่นา โดยวางตามกิ่งไม้ต้นไม้ หรือที่จัดไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะ

    กิจกรรม

    การทำบุญวันสารทเดือนสิบ หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า วันชิงเปรตนั้น ในเดือนสิบ กันยายน มีการทำบุญที่วัด 2 ครั้ง

    • ครั้งแรก วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันรับเปรต
    • ครั้งที่สอง วันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบเรียกว่า วันส่งเปรต

    การทำบุญทั้งสองครั้ง เป็นการทำบุญที่แสดงถึง ความกตัญญูต่อบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยอุทิศส่วนกุศล ไปให้วิญญาณของบรรพบุรุษที่ตกอยู่ในเปรตภูมิ เป็นคติของศาสนาพราหมณ์ ที่ผสมในประเพณีของพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชน นิยมไปทำบุญ ณ วัดที่เป็นภูมิลำเนาของตน เพื่อร่วมพิธีตั้งเปรต และชิงเปรตอาจสับเปลี่ยนกันไปทำบุญ ณ ภูมิลำเนาของฝ่ายบิดาครั้งหนึ่ง ฝ่ายมารดาครั้งหนึ่ง จึงทำให้ผู้ที่ไปประกอบ อาชีพจากถิ่นห่างไกลจากบ้านเกิด ได้มีโอกาสได้กลับมาพบปะสังสรรค์ และรู้จักวงศาคณาญาติเพิ่มขึ้น

    ระยะเวลา

    ระยะเวลาของการประกอบพิธีประเพณีสารทเดือนสิบ มีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เืดือนสิบ แต่วันที่ชาวนครนิยมทำบุญคือ วันแรม 13-15 ค่ำ

    ลักษณะการจัดของ

    1. ชั้นล่างสุด จัดบรรจุสิ่งของประเภทอาหารแห้ง ลงไว้ที่ก้นภาชนะ ได้แก่ ข้าวสาร แล้วใส่พริก เกลือ หอม กระเทียม กะปิ น้ำปลา น้ำตาล มะขามเีปียก รวมทั้งบรรดาปลาเค็ม เนื้อเค็ม หมูเค็ม กุ้งแห้ง เครื่องปรุงอาหารที่จำเป็น
    2. ขั้นที่สอง จัดบรรจุอาหารประเภทพืชผักที่เก็บไว้ได้นาน ใส่ขึ้นมาจากชั้นแรก ได้แก่ มะพร้าว ขี้พร้า หัวมันทุกชนิด กล้วยแก่ ข้าวโพด อ้อย ตะไคร้ ลูกเนียง สะตอ รวมทั้งพืชผักอื่นที่มีในเวลานั้น
    3. ขั้นที่่สาม จัดบรรจุสิ่งของประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ น้ำมันพืช น้ำมันมะพร้าวน้ำมันก๊าด ไต้ ไม้ีขีดไฟ หม้อ กระทะ ถ้วย ชาม เข็ม ด้าย หมาก พลู กานพลู การบูน พิมเสน สีเสียด ปูน ยาเส้น บุหรี่ ยาสามัญประจำบ้าน ธูป เทียน
    4. ขั้นบนสุด ใช้บรรจุและประดับประดาด้วยขนมอันเป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบ เป็นสิ่งสำคัญของหมฺรับ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง (ขนมไข่ปลา) ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมที่บรรพบุรุษและญาติที่ล่วงลับได้นำไปใช้ประโยชน์

    ขนมเดือนสิบ

    ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทน เรือ แพ ที่บรรพบุรุษใช้ข้ามห้วงมหรรณพ เหตุเพราะขนมพองนั้น แผ่ดังแพ มีน้ำหนักเบา ย่อมลอยน้ำ และขี่ข้ามได้

    ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทน แพรพรรณ เครื่องนุ่งห่ม เหตุเพราะขนมลา มีรูปทรงดังผ้าถักทอ พับ แผ่ เป็นผืนได้

    ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทน ลูกสะบ้า สำหรับใช้เล่น ต้อนรับสงกรานต์ เหตุเพราะขนมบ้า มีรูปทรงคล้ายลูกสะบ้า การละเล่นที่นิยมในสมัยก่อน

    ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทน เงิน เบี้ย สำหรับใชัสอย เหตุเพราะรูปทรงของขนม คล้ายเบี้ยหอย

    ขนมกง (ไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทน เครื่องประดับ เหตุเพราะรูปทรงมีลักษณะ คล้ายกำไล แหวน

    การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

    จากสมัยพุทธกาล การที่พระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกอุทิศบุญกุศลให้บรรพบุรุษที่เป็นเปรตนั้น กลายเป็นที่มาของการอุทิศส่วนบุญโดยมีน้ำกรวด แต่แท้ที่จริงแล้ว การอุทิศส่วนกุศลที่เรียกว่าปัตติทานมัยนั้น เดิมทีไม่ต้องใช้น้ำเลย ฉะนั้น การอุทิศส่วนกุศล จะมีน้ำด้วยก็ได้ ไม่มีก็ได้ ย่อมสำเร็จทั้งสิ้น

    แต่การอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ไปเกิดเป็นเปรตนั้น บุญนั้นจะต้องเกิดจากทานเท่านั้น และเปรตที่จะได้รับส่วนบุญนี้ก็เฉพาะ ปรทัตตูปชีวิเปรต คือ เปรตที่อาศัยทานที่คนอื่นให้ ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์อย่างนี้.

     

     

     

     

    บทความอื่นที่ น่าสนใจ  : จริงหรือโกหก!! ความศรัทธา กับ บั้งไฟพญานาค

     

  • จริงหรือโกหก!! ความศรัทธากับ บั้งไฟพญานาค

    จริงหรือโกหก!! ความศรัทธากับ บั้งไฟพญานาค

    พิสูจน์ปรากฏการณ์ความศรัทธากับ บั้งไฟพญานาค

    บั้งไฟพญานาค ปรากฏการณ์ประหลาดที่บังเอิญทุกปีในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดจะเกิดปรากฏการณ์ลึกลับที่ลูกไฟพวยพุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงแล้วสลายไปในอากาศ คติความเชื่อจากคนโบราณชาวอีสานเชื่อว่าคือบั้งไฟพญานาค บั้งไฟที่ว่ามีที่ไปที่มาอย่างไรทำไมต้องเกิดเฉพาะคืนวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดเท่านั้น เราจะมาพิสูจน์ความจริงค่ะ…

    ความเชื่อจากชาวอีสานสมัยโบราณเชื่อว่า บั้งไฟพญานาคที่กล่าวมาจุดโดยพญานาคที่ทรงอิทธิฤทธิ์ จุดขึ้นจากเมืองบาดาลเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าที่กำลังเสด็จลงมาจากการโปรดมารดาพระองค์บนสวรรค์จนกระทั่งเป็นปรากฏการณ์ประหลาด และสร้างความอัศจรรย์ใจแก่มนุษย์บนโลกที่สำคัญยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าทำไมเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเฉพาะคืนนี้เท่านั้น ที่มาที่ไปคือคนอีสานโบราณพบโดยบังเอิญขณะออกเรือหาปลาตอนกลางคืน และที่ผ่านมามีแต่ข้อพิสูจน์จากนักเคมีว่าลูกไฟพวยพุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงเกิดจากกระบวนการหมักซากพืชซากสัตว์ในบริเวณใจกลางแม่น้ำโขง นานวันจนเกิดเป็นแก็สธรรมชาติชนิดหนึ่งและแก็สที่ว่านี้มีความเบากว่าอากาศทำให้เกิดการพวยพุ่งขึ้นจากผิวน้ำ เป็นระยะบริเวณที่เกิดจะเกิดบนผิวแม่น้ำโขงเขตอำเภอรอบๆจังหวัดหนองคาย จะพบมากที่สุดที่อำเภอโพนพิสัย

    และแก็สที่ว่าคือ แก็สมีเทนเป็นแก็สไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่ง เมื่อเผาไหม้สมบูรณ์ไม่หลงเหลือของเสียออกสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว ทำให้ไม่มีสีไม่มีกลิ่นส่วนใหญ่จะใช้ประโยชน์ในครัวเรือนสำหรับหุงต้ม
    แต่ความเชื่อจากชาวอีสานตอนบนแย้ง และตั้งข้อสังเกตว่าคุณสมบัติแก็สมีเทนคือ ไม่มีสีและคุณสมบัติแก๊สจะต้องเป็นไปตามภาชนะที่บรรจุการพวยพุ่ง ไม่มีภาชนะทำไมเกิดเป็นลูกไฟมีขนาดใกล้เคียงกันโดยไม่มีภาชนะและทำไมสีออกไปทางสีชมพูผิดจากธรรมชาติ สำหรับแก็สที่เกิดจากการหมักซากพืชซากสัตว์ลูกไฟที่เกิดมีเสียงที่เกิดจากการลอยจากผิวน้ำ และที่สำคัญปรากฏการณ์นี้ทำไมต้องเกิดเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น คนอีสานโบราณจึงเชื่อว่าคือ บั้งไฟพญานาค
    คติความเชื่อหลายอย่างจากคนโบราณที่ความจริงพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ อธิบายได้แต่ความเชื่อเรื่องบั้งไฟพญานาคยังคงอยู่ระหว่างกึ่งกลาง ระหว่างความเชื่อที่กำลังเป็นกระแสกับความจริงที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แน่ชัดว่าที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค มีที่ไปที่มาอย่างไร ดังนั้นสังคมไทยควรจะยึดเหนี่ยวและศรัทธาการสร้างกระแสความเชื่อเรื่องลี้ลับเหล่านี้ว่าคือ อำนาจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับการปฏิบัติคุณงามความดีบูชาเป็นต้น ว่าทำความดีละเว้นความชั่วเป็นการบูชาแก่องค์พญานาคเพื่อเป็นมงคลกับชีวิต
    ขอบคุณข้อมูลจาก:/horoscope.thaiza.
  • เจาะตำนาน “ขายหัวเราะ” อยู่อย่างไรในยุคดิจิทัล

    เจาะตำนาน “ขายหัวเราะ” อยู่อย่างไรในยุคดิจิทัล

    เจาะตำนาน “ขายหัวเราะ” ธุรกิจความฮาสามัญประจำบ้าน

    เจาะตำนาน “ขายหัวเราะ” ท่ามกลางกระแสดิจิทัลมาแรง กระแสสื่อสิ่งพิมพ์ “ล้มหายตายจาก” ไปทีละเล่นสองเล่มจากแผงหนังสือ พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยที่ถูกตาหน้าว่า “อ่านหนังสือไม่เกิน 7 บรรทัด” และสถานการณ์ใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ที่ลดลง แมกกาซีนติดลบ นับเป็นความท้าทายของคนทำธุรกิจผลิตตำรับตำรา หนังสืออย่างมาก

     

    เป็นอีกหนึ่งสื่อที่น่าสนใจในการ ฝ่ากระแส Digital Disrupt ยุคนี้ คงต้องยกให้หนังสือการ์ตูน “ขายหัวเราะ” ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ผู้บริโภคในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย โตมากับเสียงหัวเราะ อ่านมุกตลก จดจำลายเซ็นนักวาดการ์ตูน ลายเส้นคาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนได้อย่างดี เรียกได้ว่าเป็น ความฮาสามัญประจำบ้าน ตามคอนเซ็ปต์ของหนังสือจริงๆ

    หากพิจารณาจุดแข็งจุดอ่อนที่ “ขายหัวเราะ” ประสบความสำเร็จในตลาดได้อย่างยาวนานถึง 44 ปี คงเริ่มจากการมองเห็นโอกาสทางการตลาด ของ วิธิต อุตสาหจิต ผู้เป็นทั้งบรรณาธิการหนังสือการ์ตูนในเครือบรรลือสาส์น และผู้ก่อตั้งนิตยสารขายหัวเราะ มองว่าการ์ตูนแนว 3 ช่องจบหรือการ์ตูนแก๊ก ในยุคนั้นมีน้อยมาก สะท้อนให้เห็นถึง “ช่องว่าง” ในการเข้าไปบุกเบิกและทำตลาดได้

     

     

     

    ขณะที่คอนเทนต์ ของหนังสือ ก็มีความหลากหลาย ตั้งแต่การ์ตูนแก๊ก การ์ตูนที่มีเนื้อเรื่องยาว ขำขัน เรื่องราวมุกตลกจากต่างประเทศมาแทรก รวมถึงเรื่องสั้นภายในเล่ม การ์ตูนมีทั้งความเซ็กซี่ เป็นต้น ตอบโจทย์ผู้บริโภคนักอ่านทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง และผู้ชาย เรียกว่าครบเครื่อง

    ส่วนด้านราคา เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ ในอดีตจะเห็นว่าการ์ตูนเล่มเล็กๆ นี้ขายประมาณ 10 บาท ทำให้จับจ่ายง่าย แต่ปัจจุบันราคาขายขึ้นมาที่ 20 บาทแล้ว แม้จะเป็นหนังสือการ์ตูนราคาไม่แพง แต่ขายหัวเราะมีการกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำ Loyalty Program ให้ผู้บริโภคร่วมสนุกกับเกมในเล่ม ร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อชิงโชค เป็นต้น

     

    และวันนี้กลิ่นอายของการอ่านขายหัวเราะอาจลดลงไป จากการอยู่บนแผงหนังสือน้อยลง การอยู่บนแผงในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นที่ปะปนทับถมกับหนังสือพิมพ์ ซ่อนอยู่ใต้หนังสือประเภทอื่นๆ บ้าง

    แต่ทว่า ขายหัวเราะ กลับปรับตัวยืนหยัดเพื่อ “อยู่รอด” ได้และเป็นกรณีศึกษาที่ดีในการทำตลาด โดยปัจจุบันคนอ่าน อยู่บนโลกออนไลน์ ขายหัวเราะก็ตามมาเสิร์ฟความตลกทุกช่องทาง มี Application ให้ดาวน์โหลดอ่านได้ทั้งระบบ IOSและ Android แฟนคลับยังสามารถติดตามข่าวสาร พูดคุยได้ทั้ง Facebook Instagram Line Twitter มีครบ

     

     

     

    ขณะที่การหารายได้บนหน้ากระดาษ ยังคงมี โฆษณา ให้เห็นแทรกอยู่ตามหน้าต่างๆ บ้างเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นโฆษณาหนังสือจากบริษัทในเครือบรรลือสาส์น เทียบกับอดีตจะเห็นโฆษณาที่มาจากขนมขบเคี้ยว และอื่นๆ อีกด้านคือ “ยอดขาย” จากจำนวนเล่มที่ตีพิมพ์นั่นเอง

    “ขายหัวเราะ” อาจเป็นหนังสือการ์ตูนหัวหอกของเครือบรรลือสาส์น แต่ในพอร์ตโฟลิโอยังมีทั้ง มหาสนุก, นางสาวดอกไม้กับนายกล้วยไข่, ปังด์ปอนด์, หนูหิ่นอินเตอร์ และอีกมากมายที่ผู้อ่านคุ้นเคยกันอย่างดี

     

     

    อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ขายหัวเราะที่ปรับตัว เพราะในเครือบันลือกรุ๊ป ก็เปลี่ยนตัวเองไม่น้อย โดยที่ผ่านมาเห็นการขยายธุรกิจวิธิตา แอนิเมชั่น นำคอนเทนต์การ์ตูนที่มีมาทำภาพยนตร์ รับทำคอนเทนต์วาดการ์ตูน ตัดต่ออัดเสียงแบบครบครัน มีธุรกิจ มาโชบิส ดูแลลิขสิทธิ์และบริการการตลาดในเครือ และบริษัทยังมีการจำหน่ายหนังสือออนไลน์ เพื่อรับกับโลกดิจิทัลอีกด้วย…

     

    บทความที่น่าสนใจ : ว่าด้วยตัว ฃ ฃวด กับ ฅ ฅน พยัญชนะที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง

  • น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ‘คำพ่อสอน’

    น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ‘คำพ่อสอน’

    น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ตามรอยพ่อ ร.9

    น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็น “พ่อแห่งแผ่นดิน” นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ ทรงมีพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้เราทุกคน รู้หน้าที่แห่งตน ดำรงตั้งมั่นอยู่ในความดี ความสงบเรียบร้อย อย่างมากมาย

    เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีแห่งการสวรรคต วันที่ 13 ตุลาคม 2561  ขออัญเชิญพระบรมราชโชวาทพระราชดำรัสบางส่วน ที่ได้พระราชทานในวโรกาสต่างๆ มาให้คนไทยได้น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เพราะสิ่งที่ “พ่อหลวง” ทรงสอนไว้ มิใช่เพียงคำพูดสวยงาม แต่ทรงกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ดังที่เราได้ประจักษ์มาแล้วตลอด 70 ปี แห่งรัชสมัยของพระองค์

     

     

    “ชาติบ้านเมือง คือ ชีวิต เลือดเนื้อ และสมบัติของเราทุกคนและการดำรงรักษาชาติประเทศนั้น มิใช่หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใดโดยเฉพาะ หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คน ที่จะต้องร่วมมือกระทำ พร้อมกันไปโดยสอดคล้องเกื้อกูลกัน”

    พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีตรวจพลสวนสนาม เนื่องในโอกาสพระราชพิธีรัชดาภิเษก 8 มิถุนายน 2514

    “ถ้าทุกคนสนใจในความรักประเทศชาติ รักษาความดีเอาไว้ ไม่ต้องไปตามอย่างในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่น่าที่จะเจริญไม่น่าจะพัฒนา เราต้องรักษาแนวทางความคิดตามที่เรามีอยู่แม้จะเป็นสิ่งที่ตกทอดมาแต่โบราณกาลจากปู่ย่าตายายของเรา แต่เป็นระเบียบการหรือเป็นวิธีการที่ดี จะไม่ล้าสมัย”

    พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร 13 มีนาคม 2514

     

     

    “ความคิดนั้นเป็นแม่บทใหญ่ของการพูดและการกระทำ เพราะกิจที่จะทำคำที่จะพูดทุกอย่างล้วนสำเร็จมาจากความคิด การคิดก่อนพูดและก่อนทำจึงช่วยให้บุคคลสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง”

    พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540

    “การดำรงชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลาการปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้งถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ”

    พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่ครูและนักเรียน โรงเรียนจิตรลดา 27 มีนาคม 2523

    “การดำเนินชีวิตโดยใช้วิชาการอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องอาศัยความรู้รอบตัวและหลักศีลธรรมประกอบด้วย ผู้ที่มีความรู้ดี แต่ขาดความยั้งคิด นำความรู้ไปใช้ในทางมิชอบก็เท่ากับเป็นบุคคลที่เป็นภัยแก่สังคมของมนุษย์”

    พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18 กันยายน 2504

     

     

    สัจจะวาจา นั้นเป็นรากฐานของการทำงาน หรือการดำรงชีวิตที่ดีที่งามที่มีความก้าวหน้า มีความสำเร็จ “สัจ” เป็นการตั้งใจ ตั้งจิตใจ “วาจา” เป็นคำพูดออกมา แสดงถึงคำพูดนั้นต้องออกมาจากใจ คือเป็นการตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อความสำเร็จในงานนั้น”

    พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสที่ผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรมเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ 18 มีนาคม 2525

    “คนไทย รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน เป็นปึกแผ่นมั่นคงมาได้ ด้วยสติปัญญาความสามารถ และด้วยคุณความดี อิสรภาพ เสรีภาพ ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนความเจริญ ทุกอย่างที่มีอยู่บัดนี้ เราทั้งหลายในปัจจุบัน จึงต้องถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบอย่างสำคัญ ในอันที่จะรักษาคุณความดี พร้อมทั้งจิตใจที่เป็นไทยไว้ให้มั่นคงตลอดไป”

    พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2521

     

     

     

    “การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”

    พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18 กันยายน 2504

    “ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึงความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น”

    พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษกทรงครองราชย์ครบ 50 ปี

    “เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มซะด้วยซ้ำไป”

    พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากวารสารชัยพัฒนา ประจำเดือนสิงหาคม 2542

     

     

     

    ความรู้สึกใดๆที่เกิดขึ้นในค่ำคืนวันที่ 13 ตุลานั้น แม้ยากที่จะลืมหรือลบเลือนไปได้ ขอให้เป็นเพื่อนเตือนใจว่าการสูญเสียผู้ที่เรารักเทิดทูนบูชานั้นเจ็บปวดแค่ไหน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และเราควรจะทำยังไงต่อไป เชื่อว่าทุกคนจะมีคำตอบของตัวเอง

    ประมวนภาพรำลึกพระราชกรณียกิจ ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภาพในหลวงหายาก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ร้อยร่องรอยแห่งความวิปโยค

    ย้ำว่าใจยังโศกยังร่ำไห้

    อาทิตย์ลับอับแสงไปแสนไกล

    ความอาลัยยังท่วมท้นล้นกมล

     

    พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย

    ขอน้อมศิระกราน กราบแทบพระยุคลบาท

    ด้วยสำนึกพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้และแสดงความไว้อาลัย

    พระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

     

     

     

     

    บทความอื่นที่น่าสนใจ : ๕ โครงการหลวงในภาคเหนือ ของพ่อหลวงในรัชกาลที่ ๙

  • รวมภาพน่ากลัวของเด็กยุค 1900 แสดงการต่อสู้ของการใช้ ” แรงงานเด็ก ” ก่อนถูกยกเลิก

    รวมภาพน่ากลัวของเด็กยุค 1900 แสดงการต่อสู้ของการใช้ ” แรงงานเด็ก ” ก่อนถูกยกเลิก

    ในปี 1908  Lewis Hine ได้หยิบกล้องถ่ายรูปของเขาขึ้นมาและกลายเป็นช่างภาพของคณะกรรมการ แรงงานเด็ก แห่งชาติ

    นับเป็นช่วงเริ่มต้นของทศวรรษที่ยาวนานขณะที่ลูอิสเดินทางข้ามประเทศจัดทำเอกสารเกี่ยวกับแรงงานเด็กซึ่งเป็นภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องจากเจ้าของโรงงานเนื่องจากการผิดศีลธรรมของแรงงานเด็กควรจะถูกเก็บไว้ห่างจากสายตาของสาธารณชน อย่างไรก็ตาม Hine ยังคงใช้รูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน (เช่นผู้ตรวจเพลิงหรือพนักงานขายของพระคัมภีร์) เพื่อถ่ายรูปและสัมภาษณ์เด็ก ๆ ที่ทำงานในโรงงานหรือในถนน

    Lewis Hine ใช้กล้องถ่ายรูปของเขาเป็นเครื่องมือในการแสดงความคิดเห็นและการปฏิรูปทางสังคมโดยมุ่งเน้นที่สภาพที่เป็นอันตรายและน่ากลัวที่เด็ก ๆ ต้องทำงานด้วยความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของตัวเอง. Hine ได้ถ่ายภาพหลายพันภาพโดยมีเป้าหมายหนึ่งคือเพื่อยุติการใช้แรงงานเด็ก และแน่นอนการแพร่กระจายรูปถ่ายในรูปแบบของแผ่นพับหนังสือพิมพ์และนิตยสารจ่ายเงินออกเป็นรัฐบาลสหรัฐในที่สุดก็ต้องออกกฎหมายแรงงานที่เข้มงวดมากขึ้น เลื่อนลงมาด้านล่างเพื่อดูรูปถ่ายของ Hine และอย่าลืมบอกให้เราทราบว่าคุณคิดอย่างไร

    ข้อมูลเพิ่มเติม:  คณะกรรมการเด็กแห่งชาติกระทรวงแรงงาน

     

    อุบัติเหตุกับคนงานโรงสีหนุ่ม Giles Edmund Newsom ในขณะที่ทำงานอยู่ที่ Sanders Spinning Mille ชิ้นส่วนของเครื่องล้มบนเท้าของเขา สาเหตุนี้ทำให้เขาตกลงไปยังเครื่องปั่นด้ายและมือของเขาเข้าสู่เกียร์ที่ไม่ได้รับการป้องกันการบดและการฉีกขาด.นิ้วของเขาขาดสองนิ้ว เขาบอกว่าเขากับทนายความว่าเขา อายุ 11 ขวบ ตอนที่มันเกิดขึ้น สถานที่: Bessemer City, North Carolina

     

    Rosie อายุ 7 ปี Oyster Shucker ปีที่สองของเธอที่ทำงาน ไม่รู้หนังสือ ทำงานตลอดทั้งวัน  Varn & Platt Canning Co. สถานที่ตั้ง: บลัฟตันเซาท์แคโรไลนา

     

    แคลลี่แคมป์เบลอายุ 11 ขวบเลือก 75 ถึง 125 ปอนด์สำหรับผ้าฝ้ายและวันละ 50 ปอนด์เมื่อกระสอบได้รับเต็มรูปแบบ “ไม่ฉันไม่ชอบมันมากนัก” ที่ตั้ง: Potawotamie County, Oklahoma

     

    Newsboy นอนหลับบนบันไดด้วยกระดาษ สถานที่: Jersey City, New Jersey

     

    Mary 4 ขวบ ที่หัดแกะหอยนางรม 2 กระป๋อง Dunbar มีแนวโน้มที่ทารกไม่ทำงาน สถานที่ตั้ง: ดันบาร์รัฐลุยเซียนา

     

    แวนซ์เด็กชายอายุ 15 ปี ติดอยู่เป็นเวลาหลายปีใน West Va เหมืองถ่านหิน $ 0.75 ต่อวันสำหรับการทำงาน 10 ชั่วโมง สิ่งที่เขาทำคือการเปิดและปิดประตูนี้ สถานที่ตั้ง: เวสต์เวอร์จิเนีย

     

    Rose Biodo, 1216 Annan St. , Philadelphia อายุ 10 ปี. การทำงานตลอดทั้ง 3 ฤดู เด็กและการการเก็บผลเบอร์รี่, สอง ตะกร้าใหญ่ สถานที่ตั้ง: Browns Mills รัฐนิวเจอร์ซีย์

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Credit by boredpanda.com

    บทความอื่นๆ  อายุไม่เป็นปัญหากับรอยสัก

  • แทบไม่น่าเชื่อ!!! DRAGON SNAKE งูหายากที่สุดในโลก

    แทบไม่น่าเชื่อ!!! DRAGON SNAKE งูหายากที่สุดในโลก

    DRAGON SNAKE สายพันธุ์ที่หายากที่สุดในโลก สวยงามดั่ง “มังกรในเทพนิยา

    DRAGON SNAKE งูมังกร ยังคงมีเรื่องราวที่น่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ได้ติดตามรับชมกันอย่างจุใจ โลกของเรานั้นยังคงเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ อย่างเช่นที่เราจะพาไปดูกันในวันนี้นะค่ะ จัดว่าเป็น หนึ่งในสายพันธุ์ งูที่หายากที่สุดในโลก ผิวหนังของมันดูคล้ายกับ มังกร ในเทพนิยายอย่างน่าเหลือเชื่อจนได้สมยานามว่า Dragon Snake กันเลยทีเดียวค่ะ

     

     

    Dragon Snake หรือ Xenodermus จัดเป็นงูประเภท caenophidian ความพิเศษของงูสายพันธุ์นี้ก็คือผิวหนัง ลักษณะผิวหนังของมันขรุขระ และมีแผงหลังดูแล้วคล้ายกับผิวของมังกร จัดว่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์งูที่หายากที่สุดในโลก พวกมันชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินพวกกบแมลงหรือสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร วางไข่คราวละ 2-4 ใบ เท่านั้นในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี หรือในฤดูฝน อัตราการขยายพันธุ์ต่ำจึงทำให้มันหายากค่ะ

     

     

    สำหรับ Dragon Snake เป็นงูที่พบได้ในแถบประเทศ ไทย พม่า และ อินโดนีเซีย  หายากที่สุดในโลก แถมพบในประเทศไทยของเราด้วยจัดว่าสุดยอดไปเลยที่เดียวค่ะ

     

     

     

     

     

    Credit by  : ที่สุดในโลก

    บทความอื่นๆ : OUIJA วีจา หรือกระดานวีจา ผีถ้วยแก้วของชาวตะวันตกที่วัยรุ่นนิยมเล่น 

  • การกำเนิดบันไดเลื่อนแห่งแรกในโลก

    การกำเนิดบันไดเลื่อนแห่งแรกในโลก

    จาก Escalator สู่ escalator กำเนิดบันไดเลื่อน

    กำเนิดบรรไดเลื่อน ต้นแบบของบันไดเลื่อนที่เป็นตัวเป็นตนจริงๆ เกิดจาก ฝีมือของเจสซีรีโน (Jesse Reno) ในปีค.ศ. 1891 (พ.ศ.2434– ตรงกับรัชกาลที่ 5 ของไทย) แต่เปิดตัว เป็นครั้งแรกในอีก 4 ปี ต่อมาคือ ค.ศ.1895 ณ สวนสนุกบนเกาะโคนีย์ (Coney Island) ในมลรัฐนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา คนที่จะใช้สิ่งประดิษฐ์ของรีโนหากเป็นชายก็จะขี่คร่อมขึ้นไปแต่หากเป็นหญิงก็จะนั่งหันข้าง ( เหมือนสาวๆ ซ้อนมอเตอร์ไซด์สมัยนี้) โดยเครื่องจะพาขึ้นไปสูงแค่ 7 ฟุต (ราวสองเมตรกว่าๆ) ด้วยมุมเอียง 25 องศา และเร็ว 75 ฟุตต่อนาที หากลองคำนวณดูคร่าวๆ ก็จะพบว่า นั่งเพียงแค่ 13 วินาทีก็ถึงจุดหมายแล้ว เพราะนี่เป็นเพียง ‘ของเล่น’ ในสวนสนุก เท่านั้น

    ส่วนคนแรกที่เสนอไอเดียสุดเก๋ไก๋เป็นชาวอเมริกัน ชื่อ นาธาน เอเมส (Nathan Ames) แบบร่างสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้มองด้านข้างคล้ายรูปสามเหลี่ยม และขับเคลื่อนด้วยพลังไอน้ำ แต่ดูเหมือนว่าคุณปู่เอเมสจะไม่ได้สร้างขึ้นมาจริงๆ ดังนั้น ชื่อของเอเมสจึงไม่ค่อยมีคนอ้างถึงกันนัก ดีที่ว่ามีหลักฐานเป็นสิทธิบัตรของอเมริกาที่ออกให้เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1859 หลงเหลืออยู่

    ส่วนรีโน ก็เปิดบริษัทชื่อ The Reno’s Electric Stairway and Conveyor Organization (องค์กรบันไดไฟฟ้าและสายพานลำเลียงของรีโน) และปรับปรุงสิ่งประดิษฐ์ของตนจนใช้งานได้ในห้างร้านโถงแสดงสินค้าและสถานีรถไฟในราวปีค.ศ. 1900 ในช่วงใกล้ๆ กันนั้นเองมียอดนักประดิษฐ์อีก 2 คน คือจอร์จวีลเลอร์ (George A.Wheeler) และชาลส์ซีเบอร์เกอร์ (Charles D. Seeberger) ต่อยอดความคิดของรีโนออกไป โดยวีลเลอร์ออกแบบและคิดกลไกอย่างละเอียด ที่สำคัญคือขั้นบันไดในแนวราบ ส่วนซีเบอร์เกอร์ได้ซื้อสิทธิบัตรของวีลเลอร์ไปพัฒนาต่ออีกทีและได้ขายสิทธิบัตรให้บริษัท โอทิส (Otis)บริษัทนี้หลายคนคงจะคุ้นๆ ชื่อ เพราะเขาเป็นยักษ์ใหญ่ในการผลิตลิฟต์โดยสารนั่นเอง (ลองดูลิฟต์ที่คุณใช้อยู่ เผลอๆ อาจเป็นยี่ห้อนี้ก็ได้)ชาลส์ ซีเบอร์เกอร์ นี่เองที่เป็นคนคิดคำว่าEscalator (เอสเคเลเทอร์) ซึ่งมาจากคำว่า Scala(ภาษาลาตินแปลว่า ขั้น) + Elevator (ลิฟต์โดยสาร– ซึ่งมีอยู่แล้วในขณะนั้น) สังเกตดีๆ จะเห็นว่าตัว E ในคำว่า Escalator เป็นตัวใหญ่ เพราะถือว่าชื่อนี้เป็นชื่อทางการค้าที่สงวนให้ใช้กับบริษัทโอทิสเท่านั้น

     

     

    อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปี ค.ศ. 1950 สำนักงานสิทธิบัตรของอเมริกาได้ตัดสินว่าคำๆนี้เป็นคำสามัญที่ใช้กันโดยทั่วไป ทำให้คำว่า escalator เขียนขึ้นต้นด้วยตัว e เล็กเหมือนคำศัพท์ โดยทั่วไปมีประเด็นสำคัญที่น่าจะย้อนเวลากลับไปสักหน่อยคือ ในปีค.ศ. 1911 บริษัท โอทิส ได้ฮุบบริษัทของ รีโน และต่อมาในราวทศวรรษที่ 1920 วิศวกรของโอทิสชื่อ เดวิด ลินด์ควิสต์ (David Linquist) ก็ได้พัฒนาบันไดเลื่อนโดยผนวกดีไซน์ของรีโนและซีเบอร์เกอร์เข้าด้วยกัน จนได้บันไดเลื่อนที่มีหน้าตาคล้ายในปัจจุบันจากนั้นมา บันไดเลื่อนก็แพร่กระจายออกไปทั่วโลก เช่น อังกฤษ (ปีค.ศ. 1911) และญี่ปุ่น (ปีค.ศ. 1914)

     

     

    รู้จักบันไดเลื่อนตัวแรกในอังกฤษ บันไดเลื่อนตัวแรกในกรุงลอนดอนติดตั้งที่ Earls Court Station บันไดนี้เลื่อนด้วยความเร็ว
    90 ฟุตต่อนาที หนังสือพิมพ์ The Illustrated London News ฉบับวันที่ 14 ตุลาคม 1911 บันทึกข้อความ ตอนหนึ่งว่า “อุปกรณ์อันน่าพิศวงนี้ได้ผนวกความ เพลิดเพลินเข้ากับกิจธุระ และมีคนจำนวนไม่น้อย ได้ใช้ขึ้น-ลงหลายต่อหลายเที่ยวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ”

    ในบ้านของเรานั้น ห้างสรรพสินค้าไทยไดมารู ราชประสงค์ เป็นสถานที่แห่งแรกที่มีบันไดเลื่อน ห้างนี้เปิดบริการเมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2507 (ค.ศ.1964) (จำได้ว่าตอนเด็กๆ มีคนแกล้งเรียกชื่อห้างนี้เพี้ยนจาก ‘ไทยไดมารู’ ไปเป็น ‘กระไดเป็นรู’ …ฮิฮิ)

     

     

    บันไดเลื่อนนั้น ถ้าใช้เพลินๆ ไปก็สบายดี แต่บางทีก็อาจทำให้เราได้ฉุกคิดอะไรได้บ้างเหมือนกัน อย่างในห้างสรรพสินค้าบางแห่งนั้น บางช่วงเวลาเขาจะเปิดบันไดเลื่อนเฉพาะ “ขึ้น” อย่างเดียว ส่วน “ลง” ต้องเดินเอง 555 ทำให้รู้สึกได้เลยว่า “ขาขึ้น” นั้นแสนสบาย แต่“ขาลง” นั้นช่างลำบากซะจริงๆ … คงเป็นสัจธรรมกระมังค่ะ

     

     

    Credit by  : 2.mtec

    บทความอื่นๆ : OUIJA วีจา หรือกระดานวีจา ผีถ้วยแก้วของชาวตะวันตกที่วัยรุ่นนิยมเล่น